ในตำนานมนุษย์ของคติพุทธ ตามที่ได้เล่ากันมา มิคสัญญี (อ่านว่า มิก-คะ -สัน-ยี) มาจากคำภาษาบาลี ๒ คำ คือ มิค (อ่านว่า มิ-คะ) แปลว่า สัตว์ซึ่งเป็นเหยื่อของสัตว์ล่าเนื้อ มักหมายถึง กวาง. กับ สญฺ (อ่านว่า สัน-ยี) แปลว่า ซึ่งมีความรับรู้, ซึ่งมีความรู้สึก. ดังนั้น มิคสัญญี จึงมีความหมายตรง ๆ ว่า มีความรู้สึกว่าผู้อื่นเป็นสัตว์ที่ตนต้องล่า
มิคสัญญี เป็นชื่อเรียกยุคสมัยที่มนุษย์มีโครงสร้างทางจิตใจตกต่ำเสื่อม ทรามที่สุด เพราะมิค (ะ) แปลว่า เนื้อ (ทราย, กวาง, เก้ง, สมัน ฯลฯ…สัตว์ที่ต้องเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่) และ สัญญี แปลว่า รู้หมายได้จำ เมื่อรวมความเป็นมิคสัญญี ท่านว่า ให้หมายถึง สมัยที่มนุษย์ได้นำมนุษย์ด้วยกันมาปรุงเป็นอาหารจานโปรดเพื่อบำรุงท้องแห่งตัณหาของตนนั้นแล
โลกในอดีตยุคหลังกึ่งพุทธกาลแห่งองค์มหาศาสดาสมณโคดมเป็นต้นมา มนุษย์ต่างจิตใจหยาบช้าวิปริต สะสมความโลภ กอบโกยกดขี่ขูดรีดกันเอง ก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนข้าวยากหมากแพง ผู้คนเห็นผิดเป็นชอบ เห็นเลวเป็นดี นิยมยก ย่องเงินตรา ศรัทธาแต่เทคโนโลยีผิด ๆ ที่ทำลายธรรมชาติ ทำลายความเป็นมนุษย์ในตัว กัดกร่อนยางอายจนไม่มีเหลือ ผู้หญิงก็ถือสิทธิจนไม่สนใจวัฒนธรรมอันดีงาม ประพฤติตนสำส่อนยั่วชายมากชู้หลายผัว เสียตัวแต่อายุยังน้อย....
....เมื่อความโลภบรรลุถึงขั้นสูง มนุษย์ผู้มีกำลังและเทคโนโลยีชั้นสูงก็ถืออาวุธข่มขู่คุกคามมนุษย์ที่ด้อยกำลังกว่า ก่อสงครามรุกรานแย่งชิงทรัพยากรจากมนุษย์ผู้ด้อยกำลังนั้น มนุษย์ผู้ด้อยกำลังสู้ไม่ได้ก็ต่อสู้ด้วยวิธีลอบโจมตี กลายเป็นสงครามกองโจรกระจายไปทั่วโลก สงครามร้อนระอุทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่มีความปลอดภัยในชีวิต โจรผู้ร้าย
ก็ชุกชุม เจ้าหน้าที่ผู้ปราบปรามไม่สนใจเพราะมัวใช้วิชาชีพไปรับใช้คนรวย สอพลอผู้มีอำนาจ จนละทิ้งหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย....
....เมื่อกาลเวลาล่วงเลยพุทธกาลของมหาศาสดาสมณโคดมได้ 3,000 ปี โลกเกิดวิปริต พืชพันธุ์ต่างสูญพันธุ์ไปสิ้น มนุษย์ต้องกินหญ้ากับแก้แทนข้าว ร่างกายจึงแคระแกรนลง อายุก็สั้นลงเหลือเพียง 10 ปี มนุษย์ยคนี้อายุเพียง 5 ขวบก็สามารถแต่งงานอยู่กินกันได้....
....จนล่วงได้ถึง 4,500 ปี ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ต่างสาบสูญไปสิ้น ไม่มีใครรู้จักศาสนา คนที่ถูกยอมรับคือคนที่มีอาวุธ
มีกำลัง คนในยุคนี้มีจิตใจที่หยาบช้า ทารุณ หากพอใจจะฆ่าใครก็ฆ่าทันทีโดยที่รู้สึกว่าไม่ต่างจากฆ่าเป็ดฆ่าไก่สักตัวเท่านั้น เราเรียกยุคนี้ว่ายุคมิคสัญญี หรือ นึกว่าเนื้อ คือฆ่าคนสักคนก็มีความรู้สึกแค่ฆ่าสัตว์สักตัวเท่านั้น....
....ลุล่วงจนถึง 5,000 ปี มนุษย์ผู้มีอาวุธต่างพากันก่อสงครามเพื่อความเป็นใหญ่บนโลกแต่เพียงผู้เดียว ในยุคนี้ ทุกประเทศต่างมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือทั้งสิ้น สงครามที่ดุเดือดและโหดร้ายถูกมนุษย์ก่อขึ้นอย่างรุนแรงที่สุด แผ่นดินทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยห่าฝนอาวุธ ทั้งจรวด ระเบิด ลูกกระสุนปืนที่ทุกฝ่ายระดมยิงเข้าใส่กันอย่างเมามันสงครามหฤโหดดำเนินไปเป็นเวลานาน จนคนของแต่ละฝ่ายบาดเจ็บ พิการและล้มตายจนเกลื่อนแผ่นดิน แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มนุษย์เริ่มขาดแคลนทุกอย่างต้องดื่มน้ำในแม่น้ำที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือดจน น้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ไม่นานโรคร้ายก็ระบาดอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตมนุษย์ให้ล้มตายลงโดยไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเยียวยา
ต่อมา เมื่อถึงจุดสุดท้ายของสงคราม มนุษย์ต่างใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือจนหมด เหลือเพียงอาวุธชิ้นสุดท้ายคืออาวุธนิวเคลียร์ ทุกประเทศต่างกดปุ่มยิงอาวุธนิวเคลียร์ของตนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้าม บนท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์ที่เกิดจากอำนาจนิวเคลียร์เป็นร้อยเป็นพันลูก....
ความร้อนแรงเทียบเท่าดวงอาทิตย์ของลูกไฟนิวเคลียร์ ได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้จนเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา แม้มหาสมุทรยังแห้งขอดด้วยอำนาจของอาวุธนิวเคลียร์ ยุคมิคสัญญี ไม่ใช่ยุคที่มนุษย์มีจิตใจเสมอสัตว์ หากแต่ยิ่งกว่าสัตว์ เพราะสัตว์ดิ้นรนเอาตัวรอดและแสวงหาผลประโยชน์โดยใช้ความจำและสัญชาตญาณเท่านั้น แต่มนุษย์สร้างสรรค์สติปัญญาให้เป็นเครื่องมือของสัญชาตญาณ คือเอาสัญชาตญาณนำปัญญา อันตรายชั่วร้ายกว่าสัตว์ ซึ่งสัญชาตญาณที่ว่าเนี้ย ตามหลักจิตวิทยาฝ่ายพุทธท่านว่าเป็น “ของเสีย” ที่เกิดมาจาก “การหมัก” ของกองขยะ ๔ กองเหตุ การณ์ด้วยกันมี กามาสวะ (หมักจากกาม) ,ภวาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าต้องมีต้องเป็น) , ทิฏฐาสวะ (หมักจากความยึดถือ
ว่าตนรู้ตนเห็น), และกองขยะที่สำมะคัญที่สุดในกระบวนการหมักขั้นสุดท้าย คือ อวิชชาสวะ…การหมักไว้ซึ่ง “ความรู้ที่ตนเองไม่ได้พิสูจน์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์เฉพาะตน”
โบราณท่านเล่าไว้ อันว่ายุคมิคสัญญีนี้ มนุษย์ผู้หญิงเพียงมีอายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ก็ถูกกระทำให้มีสามีแล้ว และ มนุษย์ผู้ชายก็ย่อมแก่งแย่งหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องนี้ กระทำการทุกอย่างเพื่อให้ได้มาอย่างว่า ส่วนสัตว์และมนุษย์ที่ไม่ยอมให้สติปัญญาถูกสัญชาตญาณเข้าครอบงำ ย่อมทนอยู่ในสังคมนั้น ๆได้ยากจะพยายามปลีกตัวหรือถูกบังคับให้อยู่โดดเดี่ยวเหมือนฤษีชีไพรในตำนาน กลายเป็นโยคีทะเลทราย (เพราะป่าไม่มี) ดาบสป่าคอนกรีตไป พวกนี้แหละที่ถูกกดดันให้ต้องแสวงหาวิวัฒนาการระบบโครงสร้างของจิตใจขึ้นใหม่
ช่วงที่มนุษย์ผู้หญิง อายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ถูกกระทำให้มีสามีแล้วกลับมีมนุษย์ใช้จริยธรรมนำปัญญาสร้างคุณภาพชีวิตกระทั่งวิวัฒนาการอายุขัยของมนุษย์ ให้ยืดออก ไปจนนับได้ถึง ๑ อสงไขยปีแล้วกลับตกต่ำลงมาคืนหา ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ อีก โบราณท่านเรียกช่วงคลื่นความถี่ของเหตุการณ์ ช่วงอย่างนี้ว่า “๑ อันตรากัป” และมิคสัญญี ก็คือ จุดต่ำสุด (Minimum) ของคลื่นความถี่อันตรากัปนี้
สรุป ยุคมิคสัญญี หมายถึง ยุคที่ผู้คนฆ่าฟันกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าผู้อื่นเป็นสัตว์ซึ่งต้องล่า คือไม่เห็นว่าผู้อื่นเป็นคน เมื่อต่างฝ่ายต่างมองแบบเดียวกัน จึงเกิดการฆ่าฟันโดยไม่ปรานีต่อกัน ผู้คนจึงล้มตายเป็นจำนวนมาก เช่น ถ้ามีปัญหาขัดแย้งกัน แล้วไม่ประนีประนอมกันด้วยความเที่ยงธรรม คิดแต่เอาชนะกัน บ้านเมืองของเราก็คงไม่พ้นเกิดมิคสัญญีเข้าสักวัน. ไม่นานมานี้ ประเทศรวันดาในทวีปแอฟริกากลายเป็นแดนมิคสัญญี เพราะคน ๒ เผ่า ต่างฆ่ากัน จนล้มตายกันเป็นล้านคน
ขอบคุณ royin.go.th