ผู้หญิงแทบทุกคนจะต้องเคยมีอาการปวดท้องประจำเดือน หากใครไม่เคยปวดถือว่าเป็นคนที่โชคดี เพราะอาการจะมีตั้งแต่ปวดน้อยจนแทบไม่รู้สึก ไปจนปวดมากต้องเข้าโรงพยาบาลฉีดยาแก้ปวด บางคนอาจไม่มีอาการที่ว่านี้แต่จะมีอาการอย่างอื่นเช่นคัดเต้านม ปวดหน้าอก ปวดหัว มีไข้ อาการเหล่านี้เมื่อประจำเดือนหมดอาการก็จะหายไปเอง แต่หากปวดมาก และปวดนานเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า อาจเป็นอาการปวดเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ข้างในโดยที่เราไม่รู้ตัว และหากละเลยทนปวดอยู่อาจเป็นอัตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเรามารู้ถึงสาเหตุกันดีกว่า เพื่อที่คราวหน้าหากมีอาการเกิดขึ้นเราจะได้ดูแลตัวเองและบรรเทาปวดลงได้บ้าง
ทุกครั้งที่มีประจำเดือนมดลูกจะสร้างสารตัวหนึ่ง ชื่อ พรอสตาแกลนดินส์ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวเป็นพัก ๆ เพื่อไล่เลือดออกมา แต่มีผลต่อระบบเส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อบีบตัว และลำไส้บีบตัวผิดปกติ ซึ่งการบีบตัวของอวัยวะในช่องท้องก็ทำให้มีอาการ เช่น มดลูกบีบตัวไล่เลือดออกมา ทำให้มีการปวดบีบเหมือนโดนอะไรบีบจะมีอาการมากหรือน้อยแตกต่างกันไป และมีอาการเส้นเลือดบีบตัวที่สมอง บางคนปวดหัวเหมือนเป็นไมเกรน หรือบางคนมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย เนื่องจาก ลำไส้ทำงานผิดปกติ เป็นธรรมชาติที่ผู้หญิงทุกคนต้องทรมานกับอาการนี้ กลุ่มอาการพวกนี้มักจะมีในช่วงวัยรุ่นปีแรก หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะปวดลดลง ซึ่ง อาการจะปวดมากที่สุดในวันแรกของการมีประจำเดือนตรงท้องน้อยหรืออาจปวดร้าวกระจายไป บริเวณหลังหรือต้นขา และทุเลาลง หรือบางคนอาจจะปวดช่วงก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1-2 ชั่วโมง
บางคนตอนสาว ๆ ไม่ปวดแต่กลับมาปวดตอนอายุมากขึ้น และเป็นคราวละหลาย ๆ วัน จนทำงานไม่ได้ อาจะมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นมีไข้สูง ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือสีของประจำเดือนเปลี่ยนไป ซึ่งอาจเกิดจากภาวะเลือดประจำเดือนไหลย้อนได้ ซึ่งบางคนร่างกายสามารถกำจัดเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปฝังตัวผิดที่เหล่านี้ได้ แต่บางคนไม่สามารถจำกัดได้ ทำให้เกิดโรคร้ายแอบแฝงได้
การรักษา ถ้าหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนไม่มากอาจบรรเทาอาการปวดด้วยการรับประทานยาระงับปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือยาที่ต้านฤทธิ์พรอสตาแกลนดินส์ และ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการปวดได้ แต่ถ้าหากสงสัยว่าอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นผิดปกติ ให้ไปพบแพทย์อย่ากลัวการตรวจภายใน เพราะโรคที่ซ่อนมากับอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการรับประทานยาหรือถ้าจำเป็นก็ต้องผ่าตัด สำหรับในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และอาจกลัวการตรวจภายในนั้นสามารถใช้วิธีอัลตราซาวด์ตรวจทางหน้าท้องได้ไม่ต้องตรวจภายใน หากแต่งงานมีลูกแล้วก็สามารถตรวจโดยการตรวจภายในและอัลตราซาวด์ได้ซึ่งใน สตรีที่แต่งงานแล้วจะแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกปี และสามารถตรวจมะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกันด้วย
บทความแนะนำ
4 วิธีลดปวดประจำเดือน
