"สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มากับควันธูป" คือชื่องานวิจัยโดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และ ดร. พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำออกเผยแพร่ ซึ่งการวิจัยพบว่า ควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซีน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน เพราะธูปประกอบขึ้นด้วยกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอม และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม โดยสารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาวและน้ำมันหอมเป็นสำคัญ
ดังนั้น ธูป 1 ดอกจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325 กรัม และก๊าซมีเทน 7 กรัม มีศักยภาพเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า นอกจากนี้ ยังมีสารพิษอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
ทั้งนี้ ทีมวิจัยยังได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจหาสารก่อมะเร็ง ณ บริเวณวัด 3 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นวัดดัง มีผู้คนไปกราบไหว้อย่างสม่ำเสมอ ได้สำรวจคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานในหน่วยงานที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน โดยการตรวจเลือดและปัสสาวะ พบว่า คนงานที่ทำงานในวัดทั้งหมดมีสารเบนซีนสูงกว่าคนที่ไม่ทำงานในวัดถึง 4 เท่า ขณะที่สารบิวทาไดอีนสูงกว่า 260 เท่า และสารในกลุ่มพีเอเอช จำพวกฟาร์มาลดีไฮด์ พบสูงกว่า 12 เท่า ทั้งยังพบสารเบโซเอไพรีน ซึ่งมีศักยภาพก่อมะเร็งสูงสุด โดยพบว่าในวัดมีสารดังกล่าวสูงกว่าสถานที่ที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า ที่สำคัญจากการตรวจร่างกายในคนงานในวัด 40 คนยังพบการแตกหักของรหัสพันธุกรรมสูงกว่าคนปกติถึง 2 เท่า
ควันธูปในวัดส่งผลอันตรายต่อประชาชน โดยเฉพาะพระสงฆ์ และคนงานที่ทำงานในวัด แต่ที่น่ากังวลมากที่สุด คือบริเวณศาลเจ้า โดยเฉพาะย่านเยาวราช ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการจุดธูปตลอดทั้งวัน และอากาศไม่ค่อยถ่ายเท ประกอบกับยังมีควันพิษจากท่อไอเสีย ทำให้เป็นแหล่งรวมสารก่อมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด
การจุดธูปในบ้านก็เป็นปัญหามาก เพราะประเทศไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับการจุดธูปว่า เป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้มีการจุดธูปในบ้านมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากธูป 3 ดอกสามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เทียบเท่าสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง
ด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวถึงกรณีผลวิจัยพิษภัยจากควันธูป ว่า เป็นการวิจัยที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก สำหรับพระภิกษุตามวัดต่างๆ และพุทธศาสนิกชนที่นิยมจุดธูปเทียนบูชาพระหรือสวดมนต์ เท่าที่เราพบโดยทั่วไป สังคมไทยเป็นสังคมชาวพุทธที่มีพิธีกรรมทางศาสนาด้วยการสวดมนต์และใช้ธูปเทียนดอกไม้ไหว้บูชาพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะตามวัด ศาลเจ้า หรือแม้แต่ในบ้าน การจุดธูปไหว้พระจนเกิดควันลอยคลุ้งปะปนไปในอากาศ ทำให้ผู้ที่สูดดมสำลักควันจนเกิดอาการไอ หากเป็นในห้องปิดที่ปล่อยให้ควันอบอวลในอากาศไม่มีทางระบายออกย่อมจะเกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้สูดดมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคทางเดินหายใจ ส่วนผลร้ายในระยะยาวตามที่มีผลการวิจัยนำเสนอออกมา คงต้องทำให้หันมาตระหนักพิษภัยจากสิ่งของใกล้ตัว ที่บางครั้งได้มองข้ามไป
พระธรรมกิตติเมธีกล่าวว่า เมื่อทราบถึงผลร้ายจากควันธูปกันแล้วต้องหาทางป้องกันโดยไม่ให้กระทบต่อความรู้สึกของชาวพุทธทั่วไป จะห้ามจุดธูปเทียนเป็นเรื่องที่ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หาทางป้องกันได้ โดยอาจจัดทำแบบวัดในประเทศจีนที่ตั้งกระถางธูปใหญ่ๆ ไว้ด้านนอกศาลา อุโบสถหรือพระวิหาร ให้ญาติโยมได้จุดธูปไหว้พระให้เผาไหม้ธูปให้หมดก้านดอกโดยเร็ว
ที่มา คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
www.khaosod.co.th
บทความที่เกี่ยวข้อง
ประวัติความเป็นมาของธูป
ความหมายธูปที่จุด
