กีวีไม้ผลประเภทเลื้อยเถาในเขตหนาวที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แต่ได้พัฒนาให้กลายเป็นผลไม้เศรษฐกิจโดยประเทศนิวซีแลนด์ และได้แพร่กระจายและปลูกเป็นการค้าในหลายๆ ประเทศ กีวีมีผลผลิตโดยรวมประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ 5 อันดับได้แก่ ประเทศอิตาลี นิวซีแลนด์ จีน ชิลี และฝรั่งเศส เป็นต้น
ความเป็นมาของกีวี
เรื่องราวของกีวีเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว เมื่อมิสชันนารีชาวนิวซีแลนด์คณะหนึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และได้นำ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ไชนิส กูสเบอร์รี" (Chinese gooseberries) กลับมาด้วย และในปี พ.ศ.2407 ก็ได้นำกีวีไปปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์ครั้งแรก นั่นเอง
หลังจากที่ได้กีวีมาปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์แล้ว ด้วยสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช ผลไม้ชนิดนี้จึงมีรสชาติดีขึ้น ชาวนิวซีแลนด์กินไชนิส กูสเบอร์รีกันเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2502 พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อ "กีวี่ฟรุต" (Kiwifruit) เป็นชื่อใหม่ของผลไม้ชนิดนี้ ตามชื่อนกกีวีที่เป็นนกสัญลักษณ์ของประเทศ (นกกีวี เป็นนกที่ไม่มีปีก พบเฉพาะในประเทศ นิวซีแลนด์ ชื่อกีวีตั้งตามเสียงร้องของมันโดยชาวเมารี มีขนสีน้ำตาล หรือเทา บางครั้งมีลายเป็นจุดๆ มีหัวขนาดเล็กและปีกเล็กๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว แต่ไม่มีหาง) และเพื่อบ่งบอกว่านี่คือผลไม้ที่ส่งออกไปจากนิวซีแลนด์
ในปี พ.ศ.2495 เป็นครั้งแรกที่ผู้ปลูกกีวีในนิวซีแลนด์ได้ส่งกีวีไปจำหน่ายยังสหราชอาณาจักร แต่ยังส่งไปในนามไชนีส กูสเบอร์รี
ปัจจุบัน นิวซีแลนด์พัฒนาคุณภาพกีวีจนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สามารถส่งออกกีวีไปยังผู้บริโภคใน 70 ประเทศ เฉพาะยุโรปทวีปเดียวก็ทำสถิติขายได้ปีละ 1.5 ล้านล้านผล รวมทั้งส่งกีวีมาจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย
กีวีในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยโครงการหลวงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำพันธุ์กีวีฟรุตจากประเทศนิวซีแลนด์เข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ.2519 ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และพบว่ากีวีฟรุตบางพันธุ์สามารถออกดอกและติดผลได้ดี มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังคงไม่สามารถส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นอาชีพอย่างแพร่หลายได้ เนื่องจากพันธุ์กีวีฟรุตที่นำมาปลูกส่วนใหญ่เป็นชนิด A. deliciosa ซึ่งต้องการอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น ผลผลิตกีวีฟรุตโครงการหลวงมีจำหน่ายจึงยังน้อยมาก คือ ประมาณ 3-4 ตันต่อปีเท่านั้น ปัจจุบันโครงการหลวงได้วิจัยและพัฒนาพันธุ์กีวีฟรุตได้สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถปลูกได้ดีในสภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นนัก กีวีฟรุตจึงนับว่าเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพดีชนิดหนึ่งในอนาคต
ชนิดและพันธุ์กีวีที่สำคัญ
- Actinidia deliciosa
- A. chinensis
- A. arguta
กีวีเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์สำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีข้อมูลและรายงานการวิจัยมากมายที่สนับสนุนคุณค่าของกีวีและการบริโภคกีวี ลิลลี่ ดรัมมอนด์ Food Science Advisor ที่ พลานท์ แอนด์ ฟู้ด รีเสิร์จ บรรยายว่า ในกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย (ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราบริโภคอาหาร) จะเกิดอนุมูลอิสระที่เรียกว่า "ออกซิแดนท์" ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมต่อเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย (ทำลาย DNA) เมื่อเซลล์เสื่อมก็ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคไม่พึงประสงค์ต่างๆ ขั้นต้นก็ผิวพรรณร่วงโรยไม่สดใส ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า เกิดการอักเสบต่างๆ ไปจนถึงโรคหนักๆ อย่างโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และมะเร็ง แต่กีวีได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าเป็นผลไม้ที่มี วิตามินซี และวิตามินอีในสัดส่วนสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (ตัวต้านออกซิแดนท์) ที่ทรงประสิทธิภาพมาก
กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 167% ของ RDA (Recommended Daily Allowance) ให้วิตามินซีมากกว่าการบริโภคแอปเปิล ส้ม กล้วย แครนเบอร์รี องุ่น ลูกแพร์ ทับทิม ในปริมาณที่เท่ากัน
วิตามินอีในกีวีเป็นวิตามินอีที่อยู่ในแหล่งอาหารที่ปราศจากไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ในตัว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย
- โพแทสเซียม (331 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม)
- ไฟเบอร์ (3.4 กรัม/กีวี 100 กรัม)
- โฟลเลต
- แมกนีเซียม (30 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม)
- ซิงก์
จากผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน จะช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกาย
นักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบประโยชน์อีกว่า เมื่อกินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันมาก - แร่ธาตุในกีวีจะช่วยลดสภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลอิสระมีไม่เพียงพอได้ด้วย
แหล่งที่มา : https://www.vcharkarn.com/varticle/43786