ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์
สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ.2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง ก่อนพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับระบบตัวเลขและแนวคิดของชาวมายากันนิดนึงก่อน เริ่มกันที่เลข 20 อันเป็นเลขที่ชาวมายาเค้าถือกันว่าเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณพวกนี้มีแนวคิดทางตัวเลขที่น่าสนใจมาก กล่าวคือ มนุษย์ในปัจจุบันนิยมใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก โดยยืนพื้นอยู่บนนิ้วมือทั้งสิบ แต่ชาวมายากลับแตกต่างกันไปเพราะพวกเขารวมนิ้วเท้าอีกสิบเข้าไปด้วยเป็นเลขฐาน 20 พอดิบพอดี ลองมาดูสัญลักษณ์ของชาวมายาที่นับจาก 0-20 กันดีไหม? เลขศูนย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์วงกลม เลขหนึ่งด้วยหนึ่งจุด เลขสองแทนด้วยจุดตามแนวนอน เลขสามด้วยจุดสามจุด เลขห้าแทนด้วยเส้นแนวขวาง เลขหกแทนด้วยจุดหนึ่งจุดเหนือเส้นแนวขวางและเป็นแบบนั้นไปตามลำดับ เลขสิบเก้าแทนด้วยจุดสี่เหลี่ยมเหนือเส้นแนวขวางสามเส้นที่ซ้อนกันขึ้นไป เลขยี่สิบแทนด้วยสัญลักษณ์คล้ายวงกลมที่มีจุดจุดหนึ่งอยู่ด้านบน ดังภาพ
ความสัมพันธ์อีกประการของปฏิทินของชาวมายาก็คือ หนึ่งอุยนัลหรือเดือนของพวกเขามีอยู่ 20 คิน หรือ 20วัน :)
อาณาจักรมายา เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประเทศกัวเตมาลา ครั้งหนึ่งอาณาจักรนี้เคยคึกคักรุ่งเรืองเป็นที่สุด เมืองใหญ่ๆเช่น ติกัลหรือพาเลงกอมีประชากรร่วมแสน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการค้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลกลใดหาใครทราบ เมืองยุคแรกของชาวมายาเช่นติกัลก็ได้เริ่มเสื่อมสลายทีละน้อยในช่วง ค.ศ. 200-900 นักโบราณคดีรู้สึก ประหลาดใจมากกับหลักฐานที่ว่า ด้วยเหตุผลบางประการชาวมายาได้ละทิ้งเมืองอันรุ่งเรืองของพวกเขาในช่วงเวลานั้น หยุดชะงักอารยธรรมที่กำลังเติบโตทั้งหลายทั้งมวลคล้ายๆกับว่าจู่ๆพวกเขาหมดกำลังใจในชีวิตกันไปแล้ว
บางคนอาจนึกถึงการเข้ามาของชาวยุโรปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมมายาล่มสลายไป มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เพราะชาวยุโรปเข้ามายังโลกใหม่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นอารยธรรมมายาเสื่อมสลายลงเกือบหมดแล้วเหลือเพียงชนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วคาบสมุทรยูคาทานกับเม็กซิโกตอนใต้เท่านั้น
มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชาวมายาหยุดความก้าวหน้าทางอารยธรรมลง เหมือนชนชาติที่เสียแรงกระตุ้น เพราะจู่ๆพวกเขาก็หยุดชะงักเอาเฉยๆหลังจากรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมอันน่าพิศวงสุดขีดมาหลายศตวรรษ อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น?
เนื่องจากเป็นเคสที่น่าสนใจจึงมีทฤษฎีว่าด้วยการล่มสลายของอารยธรรมมายาขึ้นมาเพียบ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดจากการที่ทาสกับประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้นปกครองผู้เผด็จการ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ครับ เพราะอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดนั้น สังคมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่น่าจะมาพังพาบง่ายๆกับอีเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ แถมไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดเอาเสียเลยว่ามีการแข็งข้อแข็งเมืองเกิดขึ้นในนครรัฐของชาวมายา การจะเข้าใจอารยธรรมมายาได้อย่างถ่องแถ้นั้นเราต้องเอาใจเราเข้าไปจับใจของชาวมายาเสียก่อน
เลิกคิดแบบมนุษย์ปัจจุบัน เลิกยึดติดกับความรุ่งเรืองทางวัตถุแบบ อารยธรรมตะวันตก
ในสายตาของมนุษย์สมัยใหม่ชาวมายาไม่ได้ต่างอะไรไปเลยจากมนุษย์ถ้ำสมัยหิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างปิระมิดด้วยศิลาอย่างไร้เหตุผล ไม่มีเทคโนโลยีด้านสกัดแร่หรือถลุงโลหะ ไม่มีอาวุธมากกว่ามีดและหอก
นักวิชาการหลายคนมองชาวมายาเป็นอัจฉริยะผู้ไร้สติ คือทั้งๆที่พวกเขาวชาญด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสถาปัตยกรรมอันไร้เทียมทาน แต่กลับไม่ได้นำมาสร้างสรรค์หรือแผ่ขยายอารยธรรมแต่ประการใดเลย นักวิชาการไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอารยธรรมที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาจนรุ่งเรืองได้ขนาดนั้นจู่ๆกลับเสื่อมสลายลง อัจฉริยะทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวมายาหายหัวไปไหนหมด
พวกเขาส่งผ่านมรดกอะไรให้แก่ชนรุ่นหลังบ้าง ทำไมจึงทิ้งเมืองใหญ่อันโอฬารอย่าง ติกัล อักซมัล พาเลงกอ และชิตเซนอิซาเอาไว้ หลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอยู่กลางป่าดงดิบในกัวเตมาลา แล้วก็วาดภาพแกะสลัก ทำเส้นสายด้วยรหัสภาษาที่ไม่มีใครอ่านออกเอาไว้ ทิ้งให้นักโบราณคดีรุ่นหลังตีอกชกหัวกุมขมับปิ้มจะบ้าทำไม...
เราคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ตราบใดที่ไม่ขจัดปัญหาบางประการออกไปเสียก่อน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวมายา แต่อยู่ที่ทฤษฎีของพวกเรา อยู่ที่วิธีวัดความสำเร็จที่มนุษย์ปัจจุบันใช้กับชาวมายานั่นแหละ หลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึทุกวันนี้
พวกเราวัดความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของมนุษยชาติด้วยไม้บรรทัดที่ถือมาตั้งแต่สมัยเรเนอซองส์ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีทางวัตถุ นวัตกรรมใหม่ๆอันจะนำเอาความเจริญทางวัตถุมาให้มนุษย์
ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงกระสวยอวกาศ ตั้งแต่ยุคหัวธนูจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ตั้งแต่ยุคหลอดสูญญากาศจนถึงซิลิกอนชิป ชาวมายาล้าหลังจริงๆหากจะมองในแง่นั้น ทฤษฎีต่อไปนี้อาจจะบ้าหลุดโลกสำหรับพวกคุณ แต่ปฏิทินของชาวมายาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและตัวเลข ภาพด้านล่างเป็นตัวแทนวันในแต่ละเดือนของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งจะถูกผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ที่เรียกว่าโซลคินอันเป็นแกนตัวเลข 13 ตัว ถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะของแกนสอดประสาน เพื่อให้ได้มาซึ่งการประสานกันระหว่างจิตใจและแกแล็คซี่
แกนตัวเลขสอดประสานเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานกันของแกแล็คซี่ นักวิชาการน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องนี้ และผู้ที่เข้าใจก็ยากที่จะทำใจรับมันได้เนื่องจากค่อนข้างหลุดโลกเอาการอยู่
แนวคิดนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ปรากฏการณ์ทางกายภาพ ที่นักโบราณคดีงงเป็นไก่ตาแตกกับอารยธรรมมายาเนื่องจากว่าพวกเขายากที่จะทำใจมองข้ามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ หันไปมองแนวคิดทางจิตใจแบบชาวมายาได้ เพราะการมองแต่หลักฐานทางวัตถุนี่แหละ จึงทำให้นักโบราณคดีหลายคนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมชาวมายาจึงพัฒนานครรัฐได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมโอฬาริกได้มากมาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาจะประยุกต์นำความรู้นี้ไปใช้ และพัฒนาอารยธรรมของพวกเขาไปในรูปแบบอารยธรรมของชาวตะวันตกอย่างที่ควรจะทำ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์
ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความก้าวหน้าขนาดคำนวณปฏิทินได้เป็นล้านๆปี รอบรู้เรื่องวงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆจนถึงขั้นคำนวณปฏิทินของดาวศุกร์และดวงจันทร์ได้อย่างชาวมายานั้น การจะสร้างอารยธรรมให้ก้าวทันปัจจุบันเห็นจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงกินเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นดีไม่ดีชาวมายาอาจครองยุโรปและเอเชีย จนถึงขั้นมีนครรัฐมายาแทนสหรัฐอเมริกาจอมเกเรอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ เป็นไปได้ลองย้อนดูอารยธรรมของเราสิ เมื่อ 400 ปีก่อนเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสื่อสารแค่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น แล้วดูตอนนี้สิ สี่ศตวรรษหรือหนึ่งแบ็กทันต่อมา เราพัฒนามาถึงไหนกันแล้วครับ เมื่อร้อยปีก่อนเรายังเคาะโทรเลขก๊อกแก๊กกันอยู่ แต่ตอนนี้เราถึงขั้นสื่อสารแบบไร้สายได้มีโอกาสมา "เธอวางก่อนดิ... ดิ ดิ ดิ..." อย่างง่ายๆราวปาฏิหารย์
พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรอบ 100 ปีได้มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบ 1000 ปีเสียด้วยซ้ำ แล้วชาวมายาล่ะครับเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับความรู้อันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยในการถอยหลังลงคลอง ชาวมายาย้อนกลับไปสู่สังคมแบบพริมิทีฟเอามากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.83 ชาวมายาก็ได้เจริญลงๆ จนกระทั่งถึง ค.ศ. 900 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่ 10 อารยธรรมอันมหัศจรรย์สมชื่อมายานี้ก็ได้ถึงการเสื่อมสลายลงอย่างสมบูรณ์ คิดแล้วก็น่าเศร้า? แบ็กทันคืออะไรอย่างนั้น?
แบ็กทันเป็นมาตรวัดเวลาของชาวมายา กินเวลาราว 395 ปีของมนุษย์ปัจจุบัน แนวคิดนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่เชื่อว่าชาว Myth น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่
แนวคิดนี้มีอยู่ว่า ชาวมายามีวัตถุประสงค์ในการอยู่บนโลกที่แตกต่างออกไป
พูดง่ายๆคือมีหลักฐานมากพอที่จะชี้ให้เห็นว่าชาวมายามีหน้าที่วางตำแหน่งโลกและระบบสุริยะ ให้สอดคล้องกับประชาคมแกแล็กซี่ที่ใหญ่กว่า โดยได้รับบัญชาจากเทพเจ้าของพวกเขาซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนักบินอวกาศแห่งโบราณยุค พูดง่ายๆก็คืออาคันตุกะจากดาวดวงอื่นนั่นล่ะ
ภารกิจหลักของชาวมายามีอะไรบ้างนั้นพวกเรายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เดาได้เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประมาณ ค.ศ.830 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่เก้าชาวมายาก็ได้จากไป บางคนยังหลงเหลือทายาทไว้ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์หรือการ์เดี้ยน ทิ้งรหัสของพวกเขาเอาไว้อันได้แก่โซลคินแกนตัวเลขประสานของชาวมายา เพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานแห่งห้วงจักรวาล
เนื่องจากนี่เป็นเพียงข้อสมมติฐานของนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะ อันว่าสิ่งที่ชาวมายาทิ้งไว้นั้นเป็นเรื่องท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เราจำเป็นต้องวางแนวคิดยึดติดวัตถุในรูปแบบเดิมเอาไว้เสียก่อน แล้วลองมามองจักรวาลอย่างที่ชาวมายาเขามองกัน ยกตัวอย่างปฏิทินของชาวมายากันสักเล็กน้อย เช่นเดียวกับพวกเราครับ ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...
แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน
ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียว) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20
ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี
จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116
ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830
ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงน่าจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายา รอบแบ็กทัน ปฏิทินมายา ปฏิทินเกรเกอเรียน เหตุการณ์สำคัญ
- 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
- 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
- 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
- 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
- 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
- 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
- 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
- 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
- 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
- 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
- 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
- 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
- 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่
แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน คิน = 1 วัน อุยนัล = 20 คิน ทัน = 360 คิน คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน) แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)
จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ
แล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลกพิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษอยู่ในใจว่าบ้าไปแล้วแน่ๆ มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง
มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสีย นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม
คำว่า ฮูแน็บ คู หมายถึง ผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง
ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู
ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง
แหล่งที่มา : https://www.dek-d.com/board/view.php?id=1457577