ETF นวัตกรรมการลงทุน - Sanook! พีเดีย

     ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund หมายถึงกองทุนรวม(กองทุนเปิด) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับหลักทรัพย์ตัวหนึ่ง กองทุน ETF มักจะมีนโยบายการลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Strategy) เช่นเดียวกับกองทุนดัชนี (Index Fund) หรือเป็นการลงทุนที่จะอ้างอิงกับดัชนีต่างๆ เช่น ดัชนีที่อ้างอิงหุ้น อาจเป็นตลาดหุ้นโดยรวมอย่าง SET 50 Index หุ้นรายอุตสาหกรรมอย่าง Energy Index หรือจะเป็นหุ้นรวมของแต่ละประเทศหรือระหว่างประเทศอย่าง MSCI World Index ก็ได้ ดัชนีราคาตราสารหนี้เช่น ETF ที่อ้างอิงกับพันธบัตรรัฐบาล (treasury bond index) รวมถึงดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity index) อย่างทองคำเป็นต้น ETF ส่วนมากที่ได้รับความนิยมจะอ้างอิงกับดัชนีหุ้นเนื่องจากคำนวณราคาได้ง่าย และมีสภาพคล่องสูง

     ในต่างประเทศ ETF เป็นนวัตกรรมทางการลงทุนที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมาอย่างต่อเนื่อง นับแต่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1993 โดยในปี 1993 มี ETF อยู่ 3 กองทุน มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 830 ล้านเหรียญ ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2008 ข้อมูลที่จัดทำโดย Barclays Global Investors รายงานว่า มี ETF ทั่วโลกทั้งสิ้น 1,499 กองทุน มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 764,000 ล้านเหรียญใน 43 ประเทศทั่วโลก ในประเทศไทย มี ETF ที่อ้างอิงดัชนีหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 2 กองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2551) คือ กองทุน ThaiDEX SET50 ETF (TDEX) ทีอ้างอิง ดัชนี SET50 และ กองทุน M Track Energy ETF (ENGY) ทีอ้างอิงดัชนี SET ENERGY

     ETF มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และสามารถซื้อขายกันเหมือนหลักทรัพย์ตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสภาพคล่องไม่ต่างจากหุ้นทั่วๆไปที่สามารถซื้อขายได้ตลอดวัน ซึ่งต่างจากกองทุนรวมประเภทอื่นที่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ที่ราคาสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ณ สิ้นวันทำการเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนสามารถสบายใจได้ว่าจะสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ ณ ราคาและเวลาที่ต้องการ (real time) คุณสมบัติของ ETF ในเรื่องราคาซื้อขายที่เป็นไปตามกลไกของตลาด ทำให้นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อขายหน่วยลงทุน ETF โดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (brokers) ได้เหมือนกับการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป ซึ่งวิธีดังกล่าวเอื้อประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆให้กับนักลงทุนด้วย เช่น การกำหนดราคาซื้อขายล่วงหน้า (preset price) การขายชอร์ต (short sell) การหยุดการขาดทุน (stop loss) รวมไปถึงการซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างมีไว้บริการ และมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ต่ำ

     นักลงทุนทั่วไปสามารถเลือกใช้ ETF เป็นเครื่องมือสำหรับการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากสภาพคล่องของ ETF ที่สามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวันผ่านบริษัทหลักทรัพย์แล้ว นโยบายการลงทุนของ ETF ที่เป็นแบบเชิงรับ (Passive Strategy) และอ้างอิงดัชนี ทำให้ ETF มีการกระจายการลงทุนไปอย่างกว้างขวาง และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต่ำ ยกตัวอย่างเช่น TDEX หรือ ThaiDEX SET50 ETF มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 50 ตัวของประเทศไทยและมีการกระจายตัวไปยังหลายๆอุตสหกรรมที่สำคัญ ทั้ง พลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ หรือ ENGY ที่มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มพลังงานชั้นนำทั้ง 10 บริษัทที่อยู่ใน SET Energy Index ทำให้ผู้ลงทุนสามารถดูภาพกว้างของสถานการณ์การลงทุน เช่นมองแนวโน้มว่าตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ในภาวะขาขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุนใน TDEX โดยที่ไม่ต้องเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว หรือหากมีมุมมองว่ากลุ่มพลังงานมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุนใน ENGY ได้อย่างสะดวก

     สำหรับผู้ลงทุนสถาบันหลายแห่งที่มีนโยบายการลงทุนแบบเชิงรับ ETF ช่วยลดภาระในการบริหารจัดการได้อย่างสะดวก เพราะการถือ ETF เพียงตัวเดียวก็ให้ผลตอบแทนเหมือนกับการถือกลุ่มหลักทรัพย์ที่ ETF นั้นได้อ้างอิงอยู่ หรือผู้ลงทุนสถาบันก็ยังสามารถใช้ ETF ในการปรับสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นหากผู้ลงทุนสถาบันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 20% และตราสารหนี้ 80% ของพอร์ตการลงทุน เมื่อมีมุมมองว่าตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้น และต้องการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเป็น 25% แต่หุ้นที่เลือกไว้เพื่อเตรียมจะลงทุนอาจจะยังไม่อยู่ในราคาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ ก็สามารถซื้อ ETF ที่มีการกระจายการลงทุนในดัชนีโดยรวมเพื่อให้พอร์ตการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาพรวมของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดย   คุณณัฐพงษ์ อภินันท์กุล

ที่มา TSI Investment Wiki 

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
   https://www.tsi-thailand.org/
   https://www.set.or.th/