พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2551
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัส ความว่า
"ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านผู้เป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ผู้แทนของรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สภา สถาบัน สมาคม ชมรม มูลนิธิ ลูกเสือชาวบ้าน และประชาชนทุกหมู่เหล่า จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันเดินทางมาอวยชัยให้พรข้าพเจ้าในวันนี้ โดยมีท่านนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กล่าวอำนวยพรแก่ข้าพเจ้า ในนามของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีกำลังใจยิ่งขึ้น ที่จะทำงานช่วยเหลือประชาชนต่อไป เพราะเป็นพระราชปณิธานขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่าทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของชาวไทย แล้วก็ทรงพร้อมที่จะทรงงานเพื่อช่วยรัฐบาลของพระองค์ ในการทำนุบำรุงประชาชนทั่วขอบขัณฑสีมาของไทย ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แม้ว่าปีนี้ข้าพเจ้าจะอายุ 76 แต่เมื่อได้รับพรจากท่านทั้งหลาย ก็ทำให้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ขอขอบคุณผู้มีน้ำใจอีกหลายท่านที่จัดอาหารและน้ำดื่มมาบริการประชาชนจำนวนมาก ที่เดินทางมาอวยพรกับข้าพเจ้า
นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นเดือนเกิดของข้าพเจ้า มีประชาชนออกมาทำการกุศล เฉลิมฉลองและอวยพรข้าพเจ้า ผ่านทางสื่อมวลชนทั้งหลาย รวมทั้งส่งจดหมายอวยพรไปถึงข้าพเจ้าด้วย สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของทุกท่าน และขอขอบคุณด้วย
ข้าพเจ้าดูโทรทัศน์และอ่านหนังสือต่างๆ ทุกวัน จึงได้ทราบกิจการมากมายที่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ จัดขึ้นเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ทุกคนช่วยกันทำสิ่งดีๆ เพื่อบ้านเมือง หรือช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้าพเจ้า
ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า พ่อ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เอง และต่อมาก็มีท่านอาจารย์แบน เป็นพระอริยเจ้า อยู่ที่สกลนคร ท่านก็สอนข้าพเจ้าและทุกๆ คนที่ไปกราบว่า ขอให้ทุกคนนึกถึงบุญคุณ ให้นึกถึงคุณของประเทศ ของแผ่นดินบ้าง ให้พยายามที่จะตอบแทนพระคุณของแผ่นดินอย่างสุดกำลัง เมื่อมีผู้พร้อมใจกันออกมาช่วยข้าพเจ้าเป็นแสนเป็นล้านบ้านเมืองของเราก็คงจะเจริญรุ่งเรือง และลูกหลานไทยคงจะมีแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขไว้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัยต่อไปในภายภาคหน้า
เมื่อเร็วๆ นี้เองข้าพเจ้าต้องเข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเชื้อค่อนข้างแรง พอข้าพเจ้าหายกลับมาที่สวนจิตรก็ได้รับจดหมายของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซีย ท่านเขียนมาว่า ขอให้รักษาพระองค์ให้หายดีเพื่อจะได้เสด็จฯ ไปช่วยประชาชนไทยทั่วพระราชอาณาจักร อย่างที่ได้ทรงทำมาแล้ว อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และข้าพเจ้าได้ทำมาตลอดเวลา อวยพรอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกปลาบปลื้ม ระลึกถึงว่า การที่ข้าพเจ้าได้แทนพระองค์ไปที่ประเทศรัสเซีย และได้รับการต้อนรับอย่างประเสริฐมาก จะเต็มที่ ตั้งแต่สนามบินที่ข้าพเจ้าลงจากเครื่องบิน มีการต้อนรับอย่างดี แล้วก็มีสวนสนามถวายที่สนามบินด้วย ได้รับความช่วยเหลือทุกอย่าง และเปิดพิพิธภัณฑ์ มิวเซียมต่างๆ ให้ข้าพเจ้าได้ดู ได้เห็น พิพิธภัณฑ์ที่เรียกว่าหาดูได้ยาก ข้าพเจ้าก็รู้สึกซาบซึ้งที่พอกลับมาแล้วไม่สบายแล้วท่าน ตอนนั้นท่านเป็นประธานาธิบดี ท่านเขียนจดหมายมาอวยพรขอให้หายเร็วๆ จะได้ออกไปทำหน้าที่ช่วยเหลือราษฎรต่อไป ก็เลยปลื้มมาก
ก็อยากจะให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ที่ทรงเลือกไปแทนพระองค์ที่รัสเซียนี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ได้เห็นธงไทยกับธงรัสเซียปลิวคู่ อยู่คู่กัน ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าเสด็จฯ ไหนทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จฯ มารอบโลกมากมาย ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งตลอดมา ทีแรกข้าพเจ้าก็นึกกลัวเหมือนกันที่ว่าไปคนเดียว แต่ว่าก็ผ่านทุกอย่างมากได้อย่างดี ทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และข้าพเจ้าก็เลยขอพระราชทานว่า ไหนๆ ไปอยู่ที่รัสเซีย 7 วันแล้วก็จะขอไปต่อที่เยอรมันแล้วก็ไปต่อที่ออสเตรีย เพราะว่าไม่ได้ไปมานานหนักหนาแล้ว ก็ทรงอนุญาตว่าให้ไปเถอะ ข้าพเจ้าก็ไปอย่างสนุกสนาน ได้มีโอกาส นานๆ ทีได้มีโอกาสไปช็อปปิ้งไปอะไร ราษฎรเขาก็มาทักทาย เขาก็พูดกัน เขายืนคอยที่หน้าร้านต่างๆ แล้วเขาก็พูดกันในหมู่ราษฎรบอก เอ๊ะสิริกิติ์นี่อายุสักเท่าไหร่ เขาพูดกัน คนเยอรมัน บอกว่าอายุ เขาบอกคงสัก 60 แท้ๆ ข้าพเจ้าว่าไปตั้ง 76 แล้ว เขาบอกสัก 60 ได้ รู้สึกเขาก็น่ารัก เป็นกันเอง แล้วก็รู้สึกดีใจที่ข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเมืองเขาอีกทีหนึ่ง ความจริงก็ไปอย่างกันเอง เข้าร้านนู้นเข้าร้านนี้อย่างสนุกสนาน
มีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยร่วมกันทำเพื่อเป็นของขวัญให้กับข้าพเจ้า คือการปลูกป่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เรียกร้องให้ประชาชนเห็นความสำคัญของป่าไม้ ต่อเนื่องกันมาเป็นสิบๆ ปี บัดนี้เป็นที่น่าชื่นใจมากว่า ประชาชนก็เข้าใจ ข้าพเจ้าพยายามอ่านหนังสือต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่าปัญหาต่อไปของโลก ของชาวโลก ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จะมา เห็นเขาว่าประมาณอีก ประมาณอีก 15 ปี น้ำจืดที่พวกเรารับประทานกันเนี่ย จะเป็นของที่หายาก ที่จะยากมาก ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เมื่ออ่านทราบแล้วก็เกิดความร้อนใจว่า บ้านเรานี่ไม่มีแหล่งน้ำใหญ่ๆ มีแต่ป่า นี่ถ้าเผื่อคนไทยไม่ทราบว่าป่าไม้คืออะไร ป่าไม้ก็คือที่สะสมน้ำไว้ใต้ดินนี่เอง ที่ฤดูฝนแทนที่น้ำฝนจะไหลหลากลงไปที่ทะเล ถ้ามีป่า ป่าเหล่านั้น ต้นไม้ใหญ่ๆ เหล่านั้นจะดูดน้ำไว้ใต้ดินของเขา ใต้ต้นของเขา ไว้เป็นจำนวนมาก แล้วตามกิ่ง ก้าน ทั้งหลาย เขาจะดูดไว้ เรียกว่าเป็นแหล่งน้ำที่ดี แล้วก็ออกมาเป็นลำธารน้อยใหญ่ อันนี้ที่อยากให้ราษฎรทั้งหลายเข้าใจ ไม่ใช่ไปนึกแต่ว่า มีป่านี่ ไม้สัก ไม้อะไรต่างๆ นี่สำหรับตัดไปค้าขายอย่างเดียว มันมีประโยชน์อย่างอื่นด้วยที่เราน่าจะคำนึงถึง
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยนี่ก็มีประชากรจำนวนมาก ไม่ใช่น้อย ถ้าน้ำจืดต่อไปใน 15 ปี เป็นของที่หายาก ที่เรียกว่าแพง ถูกล่ะสมัยนี้เขาเอาน้ำทะเลมากลั่นเป็นน้ำจืดได้ แต่ว่าค่าทำนี่แพงเหลือหลาย แล้วประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยอะไรมาก ถ้าถึงขนาดต้องเอาน้ำทะเลมากลั่นเพื่อเลี้ยงประชากรนี่ ก็นึกว่าไม่ค่อยดีนัก เพราะฉะนั้นทำไมเราจะไม่รู้จักเก็บป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งที่สะสมน้ำไว้ให้ดี อย่าพากันไปตัดคนละหนุบคนละหนับ ความจริงป่าไม้เนี่ยก็เป็นของคนไทยทั้งชาติ เป็นผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ ไม่มีสิทธิ์ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะแอบเข้าไปตัดแล้วก็ทำการค้าแต่ลำพัง แล้วต่อไปถ้าประเทศไทยขาดน้ำ จะทำยังไง เพราะเราก็ไม่ใช่ประเทศที่ว่าร่ำรวย
ข้าพเจ้าชื่นใจมากที่ได้ยิน ได้ข่าวว่า นายกรัฐมนตรีสมัคร มีความมุ่งมั่นจะพิทักษ์รักษาป่าไม้ ด้วยเหตุเนี้ย ด้วยเหตุที่ว่าเป็นแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ของไทย ถ้าเราช่วยกันพิทักษ์รักษาป่า คิดว่าเราคงไม่ถึงกับต้องเอาน้ำทะเลมากลั่น ซึ่งคนยากคนจนก็จะลำบาก เขาบอกว่าอีก 15 ปี น้ำจืดเนี่ยอาจจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามโลกได้ นี่ข้าพเจ้าอ่านเองจากหนังสือฝรั่งนะ อ่านเอง เพราะฉะนั้นเนี่ย ก็อยากจะตักเตือนคนไทยว่า อย่างน้อยเรามีป่า ธรรมชาติของเราก็ถูกทำลายไปเยอะ เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ของบุคคล แต่บัดนี้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาป่าของเมืองไทยไว้ เพราะทราบว่าจะเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของประเทศ ก็ขอให้พวกเราช่วยกัน ช่วยกันดูแลรักษาป่า อย่าไปนึกว่าไม้สักแพงอย่างโน้น ไม้อะไรต่ออะไรคิดเป็นเงินเป็นทอง นึกถึงน้ำ ถ้าเราขาดน้ำจืดเราจะแย่ ทั้งอุตสาหกรรมก็ไปไม่ไหว ทั้งชีวิตทั่วๆ ไปของคนไทยก็แย่ถ้าเราต้องซื้อน้ำจากประเทศต่างๆ มันจะแพงมาก เป็นภาระใหญ่และหนักของประเทศชาติอีก
เพราะฉะนั้นเข้าใจกันง่ายๆ ว่า ป่าไม้คือแหล่งน้ำ ถ้าเราปลูกป่าก็อาจจะพอทันนะ เราปลูกป่าเพิ่มแล้วระมัดระวังไม่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนึกถึงแต่เงินทองอย่างเดียว ให้รู้ว่าป่าคือน้ำของประเทศ ต่อไปจะได้หายห่วงไปสักที เขาให้เวลา 15 ปี แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะถึง 15 ปีไหมที่จะเกิดภาวะน้ำจืดขาดแคลนทั่วโลก นี่อ่านด้วยตัวเองก็มีความไม่สบายใจ แต่ได้ยินนายกรัฐมนตรีพูดกำชับว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้ทหารมาเป็นกำลังด้วยช่วยดูแลป่าตามภาคต่างๆ ไม่ใช่ว่าใครอยากตัดอะไรไปค้าขายก็ตัดไปตามเรื่องตามราว บางทีกลัวกฎหมายก็เลี่ยงควั่นตรงโคนต้นไม้ ข้าพเจ้าเห็นเอง ควั่นให้มันล้ม ค่อยๆ ควั่นให้มันลึกเข้าๆ แล้วมันก็จะล้มไปเองไม่ใช่ความผิดของใคร อันนี้ก็ไม่ฉลาด เพราะผลสุดท้ายผู้ที่ได้รับทุกข์ ทุกข์ร้อนก็คือ ประชาชนชาวไทย ถ้าเผื่อน้ำจืดขาดเข้าจริงๆ แล้วเราไม่มีแหล่งน้ำอย่างเขมรที่มีทะเลสาบที่กว้างใหญ่ หรืออย่างพม่าที่มีแม่น้ำเยอะแยะ เราไม่มีอย่างนั้น เมืองไทยทุกสิ่งทุกอย่างเวลานี้ต้องพึ่งป่าไม้ สำหรับน้ำดื่ม น้ำดื่มและน้ำทำเกษตรกรรม อุตสาหกรรมอะไร เราต้องรู้อย่างนั้นจะได้ไม่ปล่อยผู้คนที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวให้ตักตวงอะไรทุกอย่างของบ้านเมืองก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัว น่าจะหยุดกันที น่าจะเข้าใจ
ต่อมาข้าพเจ้าได้รับข่าวที่น่าชื่นใจว่า ประชาชนหันมาปลูกป่าและปลูกต้นไม้กันทั่วไปในบ้านในเมือง ก็เห็นจะเป็นที่ทางต่างประเทศเขาเป็นห่วงถึงโลกร้อน ถ้ามีแต่ มองไปทางไหนเวิ้งว้าง แล้วเมืองเราเป็นเมืองร้อนก็คงลำบาก ก็คงจะเข้าใจว่า น่าจะช่วยกันปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่า ต่อไปบ้านเราพอจะมีน้ำกินน้ำใช้ไม่แห้งแล้ง แล้วต้องซื้อน้ำจากประเทศต่างๆ
ในนี้เขียนมาให้ข้าพเจ้าทราบว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ท่านนายกรัฐมนตรีได้จัดให้มีบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกองทัพบก พุทธศักราช 2551 โดยผู้บัญชาการทหารบก กับปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ไปลงนามร่วมกันที่ทำเนียบรัฐบาล ใจความสำคัญที่น่าชื่นใจคือ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือและสนับสนุนซึ่งกันและกันทุกวิถีทางในการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งก็คือแหล่งน้ำของเมืองไทย
ข้าพเจ้าจึงรู้สึกซาบซึ้ง ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี กองทัพบก กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้าพเจ้าขอเอาใจช่วย และจะได้เฝ้ารอดูความเจริญเติบโตของป่าไม้ในเมืองไทยต่อไป ข้าพเจ้าทราบดีว่ากล้าไม้ต้นหนึ่งๆ จะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะกลายเป็นไม้ใหญ่ หลายปีมานี่การปลูกกล้าไม้ไปแล้วหลายล้านต้นทั่วประเทศ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเติบโตได้เองตามธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งจะเติบโตได้ก็ด้วยความเอาใจใส่ดูแลของผู้ปลูกและผู้คนในพื้นที่นั้นๆ ดังนั้นกว่าต้นไม้หลายล้านต้นเหล่านี้จะเติบโตเป็นป่าไม้ได้ จึงต้องถึงพร้อมกันด้วยความสามัคคี ความเพียร ความอดทน ความเข้าใจ ของประชาชนชาวไทยหลายล้านคนในชาติ
ทุกครั้งที่ได้ทราบข่าวว่ามีการลักลอบตัดป่า ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และข้าพเจ้า จะรู้สึกไม่สบายใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสอนแนะนำข้าพเจ้ามาโดยตลอดถึงความสำคัญของป่าไม้ ว่าป่าไม้ของไทยมีความสำคัญหลายประการ คือ เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำทุกสายในประเทศ และช่วยดูดซับน้ำไว้ในรากและใต้ดิน กลายเป็นน้ำใต้ดินให้เราใช้ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น ดึงดูดให้มีฝนมาตกในพื้นที่ และช่วยต้านความแรงของน้ำป่าเวลาฝนตกหนัก อย่างเมื่อคราวที่แล้วไม่นานมานี่ที่แถวทางภาคเหนือ ที่บนป่าทางเหนือก็ขาดต้นไม้มาก แต่ก็ยังไม่หยุดการตัดป่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดมีพายุฝนรุนแรงก็ น้ำป่าก็ถล่มลงมา เอาดินลงมาอย่างแรง แล้วก็มาเป็นอันตรายแก่หมู่บ้านของประชาชน อันนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นแล้วเศร้า เศร้าใจ ที่เราไม่รู้จนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกทางเหนือมันมีป่าไม้บนเขาแล้วไปลักลอบตัดซะหมด เวลาเกิดพายุร้ายแรงนี่เป็นภัยอันตรายมาก ดินถล่ม ชีวิตคนแย่
ส่วนกรุงเทพมหานครของเราได้ทำดีอยู่แล้วในการปลูกต้นไม้ ก็ขอให้ปลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบว่ายากเพราะว่าติดสายไฟ มีสายไฟ เรายังไม่สามารถมีเงินพอที่จะเอาสายไฟลงใต้ดิน เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในเมืองต่างๆ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่าทางกรุงเทพฯ รู้สึกว่าพยายามทุกอย่างที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าสบาย แล้วก็เจริญรุ่งเรือง ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าปีนี้กรุงเทพฯ ได้รับการโหวตจากพวกนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ 1 ของโลกในความน่าอยู่ น่าสบาย สะดวกสบายต่างๆ เมื่อปีที่แล้วนี้รู้สึกเป็นที่ 3 แต่ปีนี้ 2551 เขาประกาศมาว่าเป็นเมืองที่ได้รับโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าเที่ยว มีทั้งศิลปะเก่าแก่ วัดวาอาราม มีทั้งความเจริญก้าวหน้า มีทั้งความสะดวกสบาย มีทั้งน้ำใจที่น่ารักของคนไทยทั้งหลาย ทำให้ข้าพเจ้า พอได้ทราบนี่ชื่นใจมาก ถึงจะ 76 ก็ 76 มันชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย ดีใจมากเลยว่าได้รับชม เป็นที่ 1 ในโลก ท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี คณะนายทหารทั้งหลายคงชื่นชมเหมือนข้าพเจ้า ดีใจมากเลย
และจากปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าห่วงใยในความสะอาดของแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่ห่วงไปเฉยๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่า บ้านของข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เทเวศร์ แล้วก็แต่เช้าจะเห็นเรือของประชาชนมาทอดแห ตกปลา ได้ปลาเป็นจำนวนมากมาย แม่ข้าพเจ้าเห็นยังโบกมือเรียกเขาโหวกเหวกว่า ขอให้แวะมาจะได้ซื้อปลาสดๆ ที่บ้านของตัวเองเลย อันนี้จำได้ติดหูติดตา แล้วตอนนี้ ตอน 70 กว่าก็ถามผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นยังไงบ้างปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา เขาก็ตอบอย่างเศร้าว่า เดี๋ยวนี้แม่น้ำเจ้าพระยาเหลือแต่ปลาสวาย ซึ่งปลาสวายไม่อร่อยเลย ไม่อร่อยอย่างยิ่งเลย แต่ว่ามีเก่งอย่างคือมีความหนังเหนียว อยู่ได้ ไปไหนเจอะแต่ปลาสวาย
เมื่อสมัยก่อนข้าพเจ้าเห็นปลาหลายชนิดเชียว มีบ้านข้าพเจ้าที่เทเวศร์ มีท่าน้ำเล็กๆ เป็นไม้ เอามือลูบไปข้างล่างของท่าน้ำเนี่ย จะจับกุ้งได้ ความที่กุ้ง ปลา อะไรเนี่ยบริบูรณ์ คือ ชื่นใจ พ่อแม่ข้าพเจ้าก็ชื่นใจว่าคนไทยจะไม่มีวันอดตาย พ่อแม่ข้าพเจ้าก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ก็ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้แม่น้ำเจ้าพระยาของพวกเราเนี่ยอยู่ไม่ได้ ปลาอยู่ไม่ได้ เหลือแต่ปลาสวายซึ่งแย่มากๆ ไม่อร่อย อันนี้ข้าพเจ้าฟังจากผู้เชี่ยวชาญแล้วไม่สบายใจ ถึงได้อ้อนวอนทุกคนว่า ให้พวกคนไทยเราช่วยกัน ให้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ที่มีอาหารของคนไทยอย่างมากมาย จะไม่มีวันอดตาย คนจนก็แจวเรือ พายเรือไป แล้วก็ไปทอดแห ก็ได้ปลา คือมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่เดี๋ยวนี้มันหมดไปแล้ว เพราะว่าเราได้ไปอนุญาตให้โรงงานต่างๆ อยู่ตลอดแม่น้ำเจ้าพระยา มีแยะ ใกล้ๆ อยุธยา บางปะอิน อยุธยา แล้วก็ปลาต่างๆ ก็คงทนไม่ได้ น้ำที่ทางโรงงานปล่อยลงไปโดยที่ไม่ทำความสะอาดเสียก่อนอย่างต่างประเทศเขา ปลาของเขาตายเอาๆ คนไทยก็ยังยากจน หวังจะพึ่งปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ เขาก็รู้แล้วว่าแสนลำบาก พึ่งไม่ได้แล้ว เพราะปลามันอยู่ไม่ได้
อย่างสารเคมีต่างๆ เนี่ย ก็ไม่ควรที่จะอนุญาตให้โรงงานต่างๆ ทิ้งสารเคมีลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะต่างประเทศเขาก็ไม่ทำกันอย่างนั้น เขามีกฎหมายอย่างแข็งแรงที่ว่า ไม่สามารถจะทิ้งน้ำอะไรๆ ก็ได้ ลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา มันต้องทำความสะอาดเสียก่อน ด้วยทางวิทยาศาสตร์ทางสมัยใหม่ แล้วถึงจะปล่อยน้ำนั่นน่ะลงไป จะได้ไม่ฆ่าสัตว์น้ำ จะได้ไม่ทำลายความหวังของประชาชนชาวกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้ก็มีมากเข้าทุกที กรุงเทพฯ ธนบุรี อะไรก็ตาม ที่ปลาเปลอไม่เหลือหลอเนี่ย ก็ขออาศัยรัฐบาลนี้ช่วยสักนิดเถอะ ไม่งั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น คนไทยนี่จะพึ่งน้ำ
สมัยข้าพเจ้ายังเด็กๆ เห็นคนตักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามารับประทานได้อย่างดี ซึ่งก็นานมาแล้วหลายปี แล้วก็จับปลานี่ไม่มีวันที่จะหมดไป ปลาสมบูรณ์มาก ก็ไม่สายเกินไปที่จะกลับไปเป็นอย่างนั้น เพราะเราก็ยังมีประชาชนที่ยากจนอยู่ ที่เข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาหางาน แล้วก็เป็นคนจน ไม่มีอาหารจะรับประทานเนี่ย ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็จ้างเรืออะไรออกไปทอดแห แล้วเขาก็ได้มีอาหารกิน แต่บัดนี้มันเป็นชีวิตอีกชีวิต แต่เขาก็ไม่ทราบ เขาเข้ามาแล้วก็ลำบาก ในการที่จะมาหางานทำ
ซึ่งข้าพเจ้าหวัง อธิษฐานว่าต่อไป ถ้าเผื่อคนไทยทั้งหลายช่วยกัน รวมทั้งคณะรัฐบาลนี่ ก็หวังว่ากุ้ง ปลา นานาชนิด ก็เราสามารถจะปล่อยกลับคืนสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเป็นประโยชน์ของคนทั่วไป แทนที่จะเหลือแต่ปลาอย่างว่า ปลาสวายอย่างว่า
นักท่องเที่ยวทั่วโลก ข้าพเจ้าเคยพบเป็นบางคน ถามเขาว่าทำไมถึงชอบมาเมืองไทยมาก ที่อื่นก็มี ทะเลมีชายทะเลที่สวยงาม แต่นักท่องเที่ยวเขาบอก คนไทยนี่น่ารักเหลือเกิน น่ารักมาก ที่เขาจะมาอยู่ที่ภูเก็ตเอย ที่ไหนก็ตาม หัวหินตอนนี้ก็แยะ เขาอยู่ในหมู่คน (ทรงหันไปรับสั่งที่ปรึกษาให้ขยับมานั่งใกล้ๆ "มานั่งใกล้ๆ 76 หน่อยซิ มานั่งใกล้ๆ จะได้ช่วยเปิด" - ทรงพระสรวล"