ทำไมในหลวงท่านว่าเวลานี้ชาติใกล้ล่มจม ( 24/08/51)
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2551
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับคณะของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ในโอกาสที่มีการเข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นสถานการณ์เร่งด่วนที่สุดของชาติและคนไทยทั้งประเทศที่ต้องร่วมกันรับสนอง
กระแสพระราชดำรัสนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และโดยเร็วที่สุด ทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสว่า
' ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจ
บริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้ ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก
และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อย ไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว
ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อย ลำบากใจ
นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้
และยังทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อให้ชาติบ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่
สำคัญของชาติบ้านเมือง ' กระแสพระราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้นนี้มีความชัดเจนถูกตรงกับ
สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังมการใช้จ่ายเงินเกินตัว มีการใช้จ่ายเงินโดยไม่ระวัง
ไม่คำนึงถึงการบริหารการคลังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทรงเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่าชาติบ้าน
เมืองขณะนี้ ' ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง ' เป็นคำเตือนจากองค์พระประมุขของชาติ
พระมหาราชผู้เป็นเทพบิดรของชนชาวไทยทั้งผอง & nbsp;
น้ำหนักของคำเตือนตามกระแสพระราชดำรัสนี้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่พระราชทานกระแสพระ
ราชดำรัสแก่คณะตุลาการ ในครั้งนั้นทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยกำลังวิกฤตที่สุดในโลก
จึงทรงวิงวอนขอให้ศาลช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ทรงตรัสถึง 3 ครั้ง 3 หน
ทำให้ศาลซึ่งทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์และเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ
ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองดังที่เห็นๆ
กันอยู่ มาคราวนี้น้ำหนักของคำตรัสล่วงพ้นสถานการณ์วิกฤตที่สุดในโลกมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
คือขั้นที่ชาติใกล้จะล่มจมแล้ว ทรงชี้สถานการณ์ให้ปวงพสกนิกรทั่วทั้งประเทศทุกหมู่เหล่า
ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน หรือประชาชนทุกหนแห่ง
ว่าชาติบ้านเมืองของเรา ' ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง
เพราะใช้เงินไม่ระวัง ' และยังทรงเน้นว่า ' ใครที่บริหารการคลัง
ควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของบ้านเมือง ' กระแสพระราชดำรัสครั้งนี้ตรงกับความรู้สึกนึกคิดที่คุกรุ่น
อยู่ในห้วงดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ปานประหนึ่งว่าทรงสถิตอยู่ในกลางใจของปวงชน
ทรงรู้แจ้งกระจ่างถึงความรู้สึกนึกคิดของปวงชนชาวไทยในขณะนี้ กระแสพระราชดำรัสคราวนี้
ตรงกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เป็นไปในขณะนี้
และเป็นคำเตือนครั้งสำคัญที่สุดในรัชกาลว่าประเทศชาติใกล้ล่มจมแล้ว ดังนั้นประชาชนชาวไทย
ทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน หรือประชาชนทุกชนชาติ ทุกศาสนา ทุกถิ่นที่
จึงต้องตระหนักให้แน่วแน่ถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ใกล้ล่มจมแล้ว
ลองใคร่ครวญดูเถิดว่าทรงมีความทุกข์ในพระราชหฤทัยสักเพียงไหน! สถานการณ์ที่ชาติใกล้จะล่ม
จมย่อมส่งผลกระทบกับทุกผู้คนในราชอาณาจักรแห่งนี้
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องไม่เพิกเฉยหรือละเลยปล่อยให้ชาติต้องล่มจม
จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของชาติเพื่อกอบกู้ชาติบ้านเมืองไม่ให้ล่มจม
เพื่อสนองกระแสพระราชดำรัส เพื่อพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมือง เพื่อตอบแทนคุณบรรพบุรุษไทย
และเพื่ออนาคตของตนเองและบุตรหลานสืบไป แล้วใครเล่าที่ทำ
ให้ชาติล่มจม ? ก็เป็นที่แน่นอนว่าคนที่มีอำนาจใช้จ่ายเงินแผ่นดิน
หรือที่ทรงใช้คำว่า ' ผู้บริหารการคลัง ' ซึ่งก็คือรัฐบาลนั่นแหละที่เป็นต้นตอตัวการทำให้ชาติใกล้ล่มจม
และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ชาติก็ต้องล่มจมแน่ ดังนั้นจึงต้องกำจัดเหตุที่ทำให้ชาติล่มจมตาม
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า เมื่อจะดับผลอันใด ก็ต้องกำจัดเหตุหรือดับเหตุที่ทำให้เกิดผลอันนั้น
เมื่อเหตุดับผลก็ดับ นั่นคือเมื่อกำจัดรัฐบาลที่เป็นต้นตอตัวการทำให้ชาติล่มจมได้สำเร็จ
ก็จะสามารถหยุดยั้งไม่ให้ชาติล่มจมได้ นี่คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่มีเกียรติยศยิ่งของ
ทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
เพราะนอกจากจะเป็นการกู้ชาติแล้ว ยังเป็นการสนองกระแสรับสั่งด้วยความจงรักภักดีเพื่อประโยชน์ตน
และประโยชน์ท่านอย่างสมบูรณ์อี ก ด้วย การใช้จ่ายเงินให้หมดไปโดยไม่ระวังมีอะไรบ้าง ?
เมื่อได้ตรวจดูการผลักดันใช้จ่ายเงินของรัฐบาลที่มีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองขนาดใหญ่
และสำคัญๆ ก็สามารถประมวลได้ในเบื้องต้นดังนี้
- โครงการที่หนึ่ง คือโครงการประชานิยมที่ใช้จ่ายเงินงบประมาณถึง
46,000 ล้านบาทไปหว่านละลายแม่น้ำเพื่อหาเสียงทางการเมือง
โดยไม่สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ที่ถาวรใดๆ แก่ชาติและประชาชนเลย
-โครงการที่สอง
คือโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่กระเหี้ยนกระหือรือเร่งรัดผลักดันกันโดยที่ยังไม่มีโครงการ
ไม่มีแบบแผนการก่อสร้าง และไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้เลย แต่กลับเร่งรัดจะเริ่มทำให้ได้ในปีนี้
ด้วยวงเงินงบประมาณถึง 30,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐสภาเดิมก็มีความสมบูรณ์พร้อม
และใช้การได้ดีอยู่แล้ว
-โครงการที่สาม คือโครงการเช่ารถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวี จำนวน 6,000 คัน
ซึ่งใช้เงินงบประมาณถึง 110,000 ล้านบาท ทั้งๆที่กำลังมีโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ถึง 9 สาย และทั้งๆ
ที่ปริมาณรถของ ขสมก. ก็มีมากพออยู่แล้ว หรือหากจะใช้กันจริงๆ ก็สามารถซื้อได้ ในราคาเพียง
24,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่กลับทำโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าราคาซื้อถึง 86,000
ล้านบาท เป็นการล้างผลาญชาติบ้านเมืองที่หน้าด้านที่สุด
-โครงการที่สี่ คือโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของประเทศลาวผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขง
เข้ามายังภาคอีสานของประเทศไทย ด้วยวงเงินถึง 120,000 ล้านบาท ทั้งๆ
ที่ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนน้ำ หากยังมีภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงทุกปี
ทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ความจำเป็นจริงๆ
คือการขุดลอกหรือสร้างแหล่งน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝนให้เพียงพอที่จะใช้สอย
ในฤดูแล้งต่างหาก ซึ่งใช้เงินราว 20,000 ล้านบาทก็เหลือจะพอ
-โครงการที่ห้า คือโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ ซึ่งวางแผนใช้เงินงบประมาณ
ถึง 170,000 ล้านบาท โดยไม่จำเป็นและแพงเกินจริงมหาศาล
และยังเป็นการเพิ่มรายจ่ายด้านพลังงานให้กับประเทศชาติขึ้นอีกมากมาย
ทั้งๆ ที่ยังมีโครงการรถไฟรางคู่ซึ่งเคยมีแผนที่จะให้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักทางบกอยู่แล้ว
และใช้เงินเพียงไม่เกิน 70,000 ล้านบาท หรืออาจไม่ต้องใช้เงินเลยหากคิดอ่านให้สัมปทาน
ที่เป็นธรรมแก่ชาติบ้านเมือง
-โครงการที่หก คือ โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่สอง
ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 70,000 ล้านบาท ทั้งๆที่สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่กว้างขวาง
เป็นแต่มีการบริหารจัดการที่ห่วยแตก และยังโกงกันไม่เลิก นอกจากนี้ยังมีสนามบินดอนเมือง
ที่เคยเป็นสนามบินนานาชาติของประเทศซึ่งปล่อยให้ทิ้งร้างว่างเปล่าอยู่เฉยๆ
หากจำเป็นก็สามารถปรับปรุงใช้ได้ โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
-โครงการที่เจ็ด คือ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีแผนงานจะสร้างถึง 9 สาย
และต้องใช้เงินกว่า 400,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ใช้เล่ห์กลหลอกลวงให้ผู้คนไปหลงสาละวน
อยู่กับการทะเลาะเบาะแว้งกับกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย
แต่แอบผลักดันเรียบร้อยไปแล้ว 1 สายคือสายสีแดงและกำลังจะเร่งรัดผลักดันอีก 3 สายในเร็ววันนี้
ซึ่งเป็นการก่อหนี้มหาศาลโดยมิได้คำนึงถึงฐานะการเงินการคลังของประเทศเลย
-โครงการที่แปด คือโครงการสารเลวจิปาถะ
โดยแฝงไว้ในงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนเงินกว่า 200,000 ล้านบาท
เพื่อใช้ในการซื้อเสียงตามนโยบายประชานิยมที่ไร้แก่นสาร
กระทั่งเอาเงินไปแจก ส.ส. คนละ 60 ล้านบาท ภายใต้ชื่อว่า งบ ส.ส.ทั้งๆ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
และยังแฝงอยู่ในงบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจใช้จ่ายเงินโดยไม่มีโครงการใดๆ
รองรับอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ชาติบ้านเมืองก็ต้องล่มจม เงินกำลังหมดจากคลังแผ่นดิน
จึงดิ้นรนที่จะเอาเงินในคลังหลวงมาเล่นแร่แปรธาตุล้างผลาญกันอย่างสนุกสนานต่อไป
ภายใต้โครงการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง แล้วเอาเงินจากคลังหลวงโอนมาเข้ากองทุนนี้
จากนั้นก็นำไปลงทุนเล่นหุ้นเก็งกำไรและเล่นแร่แปรธาตุฉ้อฉลปล้นชาติไม่ให้เหลือหรอแม้แต่นิด < BR> เดียว
นี่คือภยันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคนไทยทั้งประเทศ
เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งรวมกันเสียอีก
เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าฯที่ทรงเตือนคนไทยให้ตื่นรู้มหันตภัยอย่างทันท่วงทีในคราวนี้
ขอจงทรงพระเจริญ ขอจงทรงพระเจริญ ขอจงทรงพระเจริญ