เรื่องราวความรักบนแผ่นฟิล์มส่วนใหญ่ ถ้าไม่จบลงแบบโศกนาฏกรรมเพื่อให้คนจดจำฝังใจในความรันทดและระลึกถึงด้วยความโศกาอาดูร ทางเลือกที่ 2 ก็คือ ‘ต้องจบลงอย่างมีความสุข’ ให้คนดูได้อิ่มเอมใจกันถ้วนหน้า ชนิดที่ว่า--ไม่ต้องเหลืออะไรให้สงสัยในความสัมพันธ์อีก
ความรู้สึกสองขั้วที่อาจเกิดขึ้นเมื่อดูหนังเรื่อง ‘พลอย’ ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ ‘เป็นเอก รัตนเรือง’ จึงหนีไม่พ้นความรู้สึกว่า ‘ชอบมากๆ’ หรือไม่ หลายคนก็อาจจะ ‘เกลียด’ หนังเรื่องนี้มากๆ เช่นกัน
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะว่า ความรักที่จบลงแบบก้ำกึ่งและปล่อยให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง ไม่ค่อยถูกจริตคนส่วนใหญ่ซึ่งต้องการความชัดเจนมากกว่าเรื่องค้างคา
แต่ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนหนึ่งกลับรู้สึกว่าการจบแบบไม่ต้องมีบทสรุป--สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนกับความรู้สึกได้มากกว่ากันหลายเท่า
เราจึงไม่อาจฟันธงได้ว่าความชอบส่วนบุคคลที่มีต่อหนังสักเรื่องหนึ่งจะชี้วัดความ ‘ดี’ หรือ ‘ไม่ดี’ ของมันได้ เพราะรสนิยมและการตีความของคนดูก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวมากๆ อีกเหมือนกัน...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลา (ไม่น่าจะเกิน) 24 ชั่วโมง ถูกนำมาร้อยเรียงเป็นหนังเรื่องนี้ และไม่ได้มีเนื้อหาอันใดซับซ้อนไปกว่า ‘ความสัมพันธ์’ ของสามีภรรยาคู่หนึ่ง...
การดำเนินเรื่องแบบ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ และการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แทนบทสนทนา รวมถึงการแช่ภาพ ณ จุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน ยังอยู่ในงานของเป็นเอกอย่างครบถ้วน และดูเหมือนว่าเขาจะยังคงสนุกสนานกับการหยิบผลงานเก่าๆ ของตัวเองมาเป็นลูกเล่นในแต่ละฉากเหมือนเช่นเคย
เราได้รับรู้ว่า ‘วิทย์’ (พรวุฒิ สารสิน) และ ‘แดง’ (ลลิตา ศศิประภา) ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานถึง 7-8 ปี ที่ต่างประเทศ ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทยในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อมาร่วมในงานศพของญาติผู้ใหญ่ และพวกเขาตัดสินใจเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
วิทย์ลงมาซื้อบุหรี่ในยามเช้าตรู่ และนั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงล็อบบี้ของโรงแรม ที่นั่น-เขาพบกับเด็กสาวแปลกหน้าซึ่งแนะนำตัวเองในภายหลังว่าเธอชื่อ ‘พลอย’ (อภิญญา สกุลเจริญสุข)
ด้วยความรู้สึกถูกชะตา วิทย์ชวนพลอยให้ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและนอนพักบนห้องของเขาและแดง เพื่อรอเวลาให้แม่ของพลอยมารับในยามสายของวันนั้น...
ห้องพักในโรงแรม ซึ่งเป็น ‘พื้นที่ส่วนตัวของคนสองคน’ ในความคิดของแดง ถูกรุกรานทันทีที่เห็นเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าประตูพร้อมกับสามีของเธอ
และก่อนหน้าที่ ‘พลอย’ จะก้าวเข้ามาในห้อง เราได้เห็น (พร้อมกับที่แดงเห็น) ว่าในกระเป๋าเสื้อของวิทย์ มีกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของคนชื่อ ‘น้อย’ และนั่นก็เป็นชนวนที่ทำให้แดงรู้สึกหวาดระแวงแคลงใจในตัวสามี เช่นเดียวกับที่คนดูพาลคิดไปว่า ‘น้อย’ น่าจะเป็นชื่อของหญิงสาวสักคน และหวนระลึกถึงสาวสวยผู้เลิกอาชีพขายบริการเพื่อไปเผชิญโชคครั้งใหม่ที่ญี่ปุ่น ใน ‘เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล’
เพียงแค่นั้นเราก็ออกจะเชื่อไปแล้วว่าวิทย์คงได้เบอร์ของเธอมาจากที่ไหนสักแห่ง...
แต่มันจะไร้สาระแค่ไหนถ้าเรานึกขึ้นมาได้ทีหลังว่า ‘น้อย’ ใน ‘ฝัน-บ้า-คาราโอเกะ’ คือมือปืนหนุ่มที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้ไปอเมริกา และในเวลาต่อมา เราก็ได้รู้เพิ่มเติมว่าวิทย์และแดงก็เปิดกิจการร้านอาหารอยู่ที่อเมริกาเช่นกัน…
ความรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตสามารถเล่นตลกกับเราได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ และปกติคนเราก็มีแนวโน้มในการเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ หรือ ‘คาดเดา’ หรือ ‘จินตนาการ’ ถึงสิ่งต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับเรื่องราวเก่าๆ ที่เราเคยมีประสบการณ์หรือเคยได้ยินได้ฟังมาเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย
บทสนทนาของวิทย์และแดงที่ดูเหมือน ‘ไม่มีอะไร’ จึงสามารถตรึงคนดูให้จมอยู่กับมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะจากการได้ร่วมวงสนทนากับผู้คนในชีวิตจริง ว่าด้วยหนังเรื่อง ‘พลอย’…ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่มานาน, เด็กหนุ่มที่เพิ่งคบกับคนรักได้เพียง 6 เดือน หรือหญิงสาวที่ผ่านประสบการณ์ความรักมาแล้วในช่วงหนึ่งของชีวิต ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าคำพูด (ที่ดูเหมือน) ไร้สาระเหล่านั้น ช่าง ‘สมจริง’ เหมือนกับจำลองเหตุการณ์ในชีวิตของพวกเขาไปเป็นฉากหนึ่งในหนัง (ขนาดนั้นเลย!)
ด้วยเหตุนี้...หากจะมองกันแค่สายตาแล้วประเมินด้วยความรู้สึก เด็กสาวหัวฟูท่าทางไม่แยแสต่อโลก ผู้มีรอยฟกช้ำที่ดวงตาข้างหนึ่ง แถมยังกล้าตามผู้ชายแปลกหน้าขึ้นมาบนห้องพักในโรงแรม ย่อมไม่อาจสร้างความสบายใจให้กับ ‘ภรรยา’ คนไหนในโลกได้แน่ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง--ภรรยาผู้กำลังวิตกกังวลอยู่กับความสัมพันธ์ที่เธอ ‘รู้สึก’ ว่าตัวเอง ‘ไม่เป็นที่ต้องการ’ ของสามี
ความกดดันจากปฏิกิริยาภายนอก (ซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวแปลกหน้า) ทำให้แดงหันไปไล่เบี้ยและตั้งคำถามกับสามีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานจนน่าจะรู้จัก-รู้ใจกันดี แต่สิ่งที่หลุดจากปากของแดง มีเพียงความไม่มั่นใจและหวาดหวั่น จนสุดท้ายก็กลายเป็นการชวนทะเลาะ
ภายในห้อง 603 ที่ปิดประตูกั้นความเคลื่อนไหวจากภายนอก จึงถูกเปลี่ยนเป็น ‘ดินแดนแห่งจินตนาการ’ ของคน 3 คนที่อยู่ในห้อง เป็นสถานที่ที่ ‘ความคิดฝัน’ หรือ ‘ความวิตกกังวล’ ของแต่ละคนโลดแล่น โดยที่เราไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อยว่าฉากแต่ละฉาก เกิดจาก ‘มโนสำนึก’ ของ พลอย วิทย์ และแดง หรือว่านั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ กันแน่…
เราได้เห็นฉากอาชญากรรม ฉากที่ส่อให้เข้าใจว่ามีการข่มขืนเกิดขึ้น รวมถึงฉากการมีเพศสัมพันธ์อันเร่าร้อนและเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของยามแรกรัก
บางครั้งผู้กำกับเป็นเอกทำให้เรารู้สึกหมือนกับว่า ‘เรื่องทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน’ แต่ในฉากต่อมาก็จะมีเครื่องหมายยืนยันว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ‘เกิดขึ้นจริง’ ในขณะที่เรื่องราวซึ่งคิดว่าเป็นจริงในตอนแรก กลับถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นเพียงความฝัน
ความสลับซับซ้อนระหว่างเรื่องจริงและจินตนาการ-ไม่มีเส้นแบ่งชัดเจน ไม่ต่างอะไรจากความสัมพันธ์ในชีวิตของคนหลายคู่ ที่แม้จะอยู่ด้วยกันมายาวนาน แต่ความรู้สึกต่างๆ กลับถูกบดบังและบิดเบือนด้วยปัจจัยภายนอกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน ภาพลักษณ์ที่ต้องรักษา หรือจังหวะชีวิตที่ซ้ำซากจนกลายเป็นความเคยชิน แม้แต่สิ่งที่เคยทำให้หัวใจเต้นแรงก็กลายเป็นความรู้สึก ‘พูดไม่ออก-บอกไม่ถูก-บรรยายไม่ได้’ ความหวานในชีวิตก็หล่นหายไปตามกาลเวลา...
และอาจเป็นไปได้ว่า การใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนเป็นเวลานานๆ ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็น ‘เจ้าข้าวเจ้าของ’ ขึ้นในใจใครหลายคน
เมื่อไหร่ที่การอยู่ร่วมเปลี่ยนเป็น ‘การครอบครอง’ สิ่งที่ตามมาก็มักจะหนีไม่พ้นความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่ ‘เคยมี’ หรือ ‘เคยเป็น’ ไปในสักวันหนึ่ง...
ภาพที่เราเห็นกันตั้งแต่ฉากแรกๆ ได้แก่ ‘การกุมมือ’ ที่ดูเหมือนว่าแดงจะเป็นฝ่ายเกาะเกี่ยวและยึดโยงมือของวิทย์เอาไว้ฝ่ายเดียว
ถ้าดูเผินๆ สามีภรรยาคู่นี้ก็ดูเหมาะสมกันดี แต่ไม่ว่าจะเป็นการกุมมือหรือการซบหลับลงกับบ่าของฝ่ายชาย เราพอจะจับความรู้สึกได้ลางๆ ว่าการกระทำนั้นเกิดจากการเริ่มต้นของแดง ในขณะที่วิทย์เพียงปล่อยให้มันดำเนินไปตามความเคยชิน
การกุมมือวิทย์ในทุกขณะที่อยู่ในสายตาของคนรอบข้าง อาจเป็นเพียงความพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งหรือรักษาภาพที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ของสามีภรรยาในอุดมคติเอาไว้
การรักษาภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีอยู่เสมอทำให้แดงต้องนำชีวิตของตัวเองไปผูกโยงไว้กับวิทย์ โดยที่เธออาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
แต่เมื่ออยู่ร่วมกันในห้องที่ไม่มีสายตาของคนภายนอกเข้ามาสอดส่อง แดงกลับหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับวิทย์ เหมือนที่เราจะได้เห็นในหลายๆ ฉากว่าแดงไม่เคยสบตาสามีเลย แม้ว่าเธอจะตั้งคำถามคาดคั้นเขามากมายเพียงใดก็ตาม
หรือบางทีคำตอบจากปากวิทย์ที่แดงจินตนาการเอาไว้ อาจน่ากลัวเสียจนเธอไม่กล้ายอมรับมันตรงๆ...?
ในขณะเดียวกัน ภายใต้รอยยิ้มที่ดูใจดีและภาวะนิ่งเฉยแบบ ‘คนเก็บอาการ’ ของวิทย์ กลับถูกตั้งข้อสังเกตจากพลอยว่าเขาเองก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งดูเหงาไม่ต่างจากแดง...
ใช่หรือไม่ว่า...คนเราอาจมาอยู่ด้วยกันเพราะความเหงา และรู้สึกเหงายิ่งกว่าเมื่อพบว่าการอยู่ร่วมกันสองคนก็ยังไม่ใช่การเติมเต็มชีวิตของใครได้ทั้งหมด?
ชีวิตคู่ของแดงและวิทย์ เงียบเหงาทึบทึมเหมือนบรรยากาศในห้อง 603 ที่ปิดม่านแน่นหนาจนแสงสว่างภายนอกไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้ รวมถึงความติดขัดชวนให้หงุดหงิดใจในฉากที่แดงพยายามดึงผ้าม่านให้ปิดสนิท-แต่ทำไม่ได้ ก็เป็นการถ่ายเทความอึดอัดและคับข้องของแดงมายังคนดูที่มองเห็นความเป็นไปในฉากนั้น
และในเวลาต่อมา เด็กสาวชื่อพลอยนี่เองที่เป็นคนรูดผ้าม่านให้เปิดออก แสงแดดยามเช้าจึงได้ส่องผ่านเข้ามาในห้อง 603 เพื่อขับไล่ความหม่นมัวภายใน...
ไม่ต่างอะไรจากการที่พลอยก้าวเข้ามาในชีวิตของสองสามีภรรยา พร้อมกับตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมา ภาพสะท้อนของคนที่ไม่แน่ใจว่ากำลัง ‘ทน’ อยู่ด้วยกันในวันที่ความรักกำลังหมดอายุ ก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน...
การมองโลกด้วยสายตาแห่งความอ่อนเยาว์และเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างอิสระเสรีเหมือนไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆ ในชีวิตของพลอย จึงขัดแย้งกันอย่างยิ่งกับความพยายามของแดงและวิทย์ ที่มักจะแสดงความรู้สึกออกมาอย่างมีวุฒิภาวะแบบ ‘ผู้ใหญ่’ แต่ความต้องการที่แท้จริงข้างในใจกลับถูกเก็บกดเอาไว้
การอยู่ร่วมของคนสองคนจึงไม่ต่างอะไรจากการจองจำจิตวิญญาณของกันและกัน...
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ พลอยก็เป็นตัวแปรที่ทำให้แดงหยิบสร้อยที่ตกอยู่ในห้องน้ำขึ้นมาสวม และก้าวเดินออกไปจากห้อง 603 จนเตลิดไปไกลกว่าที่เธอคิด
สร้อยเส้นนั้นไม่ใช่ของแดง และจี้ที่ห้อยอยู่ก็เป็นชื่อของพลอย...แต่การเปลี่ยนมุมมองและได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ทำให้แดงได้เรียนรู้ว่า การปล่อยชีวิตไปตามความรู้สึกและเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไร
แน่นอนว่า ‘ความเสรี’ มีราคาที่ต้องจ่าย แต่รอยฟกช้ำที่ดวงตาของแดงอาจทำให้เธอตาสว่างได้มากกว่าการอยู่ในความปกป้องคุ้มครองหรือการฝากชีวิตไว้กับใคร
เช่นเดียวกับการแสดงความรักระหว่างแม่บ้านและบาเทนเดอร์หนุ่มซึ่งพลอยเล่าให้วิทย์ฟังว่าเป็นเพียง ‘ฝันลามก’ ที่เกิดขึ้นเมื่อเธอเผลอหลับไป แท้จริงแล้วมันอาจไม่ต่างอะไรจากความรักในจินตนาการของเด็กสาวคนหนึ่ง (หรือหญิงสาวสักคนหนึ่ง) ซึ่งคาดหวังถึงความอบอุ่น ร้อนแรง จังหวะความสัมพันธ์ซึ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดหรือเหตุผลใดๆ มาอธิบาย
และจินตนาการของพลอยนี่เองที่อาจทำให้วิทย์ได้เรียนรู้ว่า-เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรปิดบังหรือทำให้มันยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไปนัก
เมื่อพลอยจากไปแล้ว ฉากที่วิทย์เอื้อมมือมากุมมือแดงให้เราเห็นเป็นครั้งแรกในรถแท็กซี่...น่าจะเป็นคำตอบได้ดีว่าเขาและเธอสามารถ ‘ปลดล็อค’ ความรักไปแล้วหรือยัง...
ภาพและที่มา www.prachatai.com