การชงกาแฟ มีหลายแบบ แต่ละแบบจะให้รสชาติและกลิ่นจากน้ำมันในเมล็ดกาแฟที่ต่างๆ กันไป โดยทั่วๆ ไปการชงกาแฟมีหลักพื้นฐานอยู่ 4 อย่างที่ควรจะรู้ คือ ปริมาณของกาแฟกับน้ำ การความละเอียดของกาแฟบด น้ำ และความสดของกาแฟ การชงกาแฟที่ใช้กันทั่วไปคือกาแฟบดสองช้อนโต๊ะ (~10 - 14 กรัม) ต่อน้ำ 6 ออนซ์ (180 cc) อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ได้ถ้ารู้สึกว่ากาแฟเข้มหรือจืดเกินไป
ความละเอียดของกาแฟก็เป็นสิ่งสำคัญที่เป็นตัวกำหนดรสชาติ กาแฟที่บดละเอียดมากๆ จะขมกว่ากาแฟที่บดหยาบ เพราะน้ำซึมผ่านช้ากว่า ได้สัมผัสและมีโอกาสดูดซับรสกาแฟได้นานกว่า อย่างไรก็ตามความละเอียดของกาแฟควรจะเลือกให้เหมาะกับวิธีการชงด้วยเพื่อให้ได้ความเข้มข้นที่พอเหมาะ น้ำถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะกาแฟหนึ่งถ้วยมีน้ำอยู่ 97-98% กาแฟที่ดีควรชงจากน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ใช้น้ำเย็นต้มให้เดือดแล้วพักไว้ซักแป๊บนึงแล้วค่อยเอามาชง อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสำหรับชงกาแฟคือ 90-96"C ถ้าน้ำไม่ร้อนพอจะทำให้ดึงรสชาติกาแฟออกมาได้น้อย รวมทั้งความสดของเมล็ดกาแฟด้วย
การชงแบบเฟรนช์เพรส (French Press)
วิธีการชงที่ถือว่าให้รสชาติและความหอมของกาแฟได้ดีที่สุดคือ การชงแบบเฟรนช์เพรส (French Press) หรือ โบดัม (Bodum) วิธีชงต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า plunger pot ต้องใช้กาแฟชั้นดีบดหยาบที่สุด ก่อนชงต้อง preheat โดยใช้น้ำร้อนเทลงไปใน plunger ก่อน ใส่กาแฟบด 2 ช้อนโต๊ะต่อกาแฟ 1 ถ้วย (6 ออนซ์) เทน้ำที่เพิ่งเดือดลงให้ท่วมกาแฟ ให้แน่ใจว่าเม็ดกาแฟโดนน้ำร้อนทุกเม็ด ปิดฝา plunger พักไว้ 4 นาที แล้วถึงกด plunger บีบให้กาแฟผ่านตะแกรง กาแฟที่ชงด้วยวิธีเฟรนช์เพรสควรดื่มภายใน 20 นาที สำหรับคอกาแฟที่ต้องการความสุนทรีย์ในการดื่มสุดๆ ก็ไปซื้อ plunger มา ราคาเมืองนอกประมาณ 1000 บาท (Starbucks มีขาย)
ข้อมูลจาก https://kitty.in.th
เพอร์โคเลเตอร์ (Percolator)
วิธีที่อาจจะแปลกสักเล็กน้อยสำหรับคอกาแฟ คือการชงโดยใช้เพอร์โคเลเตอร์ (Percolator) เพอร์โคเลเตอร์มีลักษณะเหมือนเหยือกเก็บความร้อนทั่วๆ ไป หลักการชงกาแฟของเพอร์โคเลเตอร์คือเอากาแฟต้มแล้ว มาผ่านกาแฟบด ซ้ำๆ หลายๆ รอบ ที่บอกว่าแปลกเพราะการชงโดยเพอร์โคเลเตอร์ละเมิดกฏการชงกาแฟที่สำคัญสองข้อคือ
1. การชงกาแฟต้องไม่ดึงรสหรือกลิ่นของกาแฟมากเกินไป กาแฟบดจึงนำมาต้มหรือชงเพียงรอบเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่ากากจะเหลือรสกาแฟค้างอยู่ก็ตาม
2. คือ กาแฟต้มแล้วต้องเอามาดื่มเลย ห้ามปล่อยให้เย็น ถ้ากาแฟเย็นลงจะไม่นำมาต้มหรืออุ่นซ้ำ เพราะรสและกลิ่นจะผิดจากเดิม กฏสองข้อนี้ถือว่าสำคัญสำหรับนักดื่มกาแฟ และเป็นกฏที่ร้านกาแฟทั่วไปจะทำตามเสมอ
การชงกาแฟโดยเพอร์โคเลตอร์ทำให้ได้กาแฟที่ขมมาก กลิ่นหอมรุนแรง เพราะรสและกลิ่นน้ำมันหอมจากกาแฟจะถูกสกัดออกมาจนเกลี้ยงกว่าวิธีอื่น ซึ่งคอกาแฟที่อนุรักษ์นิยมจะไม่ค่อยชอบ
การหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด (Drip)
วิธีที่นิยมใช้กันทั่วๆ ไปในการชงกาแฟ ก็คือ การหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด (Drip) วิธีนี้เป็นวิธีที่เครื่องต้มกาแฟ (Drip maker, Coffee maker) ที่มีขายทั่วไปใช้กัน การชงแบบหยดน้ำร้อนนี้จะให้รสชาติและกลิ่นของกาแฟได้พอสมควร แต่รสจะไม่จัด เพราะจะมีกระดาษกรองกากกาแฟ ทำให้มีโอกาสที่รสของกาแฟจะเสียไปบ้าง แต่เป็นวิธีที่ง่าย ใส่กระดาษกรอง ใส่กาแฟบด เติมน้ำ เปิดสวิตท์ ก็ได้กาแฟร้อนๆ หอมๆ ดื่มแล้วสดชื่น กาแฟที่ใช้การหยดน้ำนี่ควรดื่มใน 20 นาที
เอสเพรสโซ (Espresso)
วิธีที่สองหลายคนคงเคยได้ยิน แต่อาจจะไม่รู้จักเท่าไหร่นัก นั่นก็คือ เอสเพรสโซ (Espresso) ที่จริงเอสเพรสโซไม่ใช่ชื่อของพันธุ์กาแฟ หรือสูตรกาแฟ แต่เป็นวิธีการชงกาแฟ และเครื่องดื่มที่ได้จากการชงแบบนี้จะเรียกว่า "กาแฟเอสเพรสโซ" การชงแบบเอสเพรสโซต้องใช้เครื่องชงเอสเพรสโซ (Espresso Machine) ในการทำ
หลักการของเครื่องชงเอสเพรสโซก็คือ จะใช้แรงดันอัดน้ำร้อนให้ผ่านไปในกาแฟบดละเอียด ซึ่งจะให้รสชาติกาแฟออกมาเต็มที่มากกว่าการหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟ คำว่า Espresso ก็มาจากภาษาลาติน Espressere ซึ่งแปลว่า กด หรือ ดัน วิธีนี้ว่ากันว่าเป็นการชงที่เข้าถึงหัวใจของเมล็ดกาแฟได้เต็มที่ การอัดน้ำให้ผ่านกาแฟบดจะใช้แรงดันราวๆ 9 เท่าของแรงดันบรรยากาศ ใช้เวลาประมาณ 18-23 วินาทีก็เสร็จ เอสเพรสโซจะทำถ้วยต่อถ้วย ไม่มีการทำค้างไว้เหมือนการชงแบบหยด เวลาเสิร์ฟจะใส่แก้วเล็กๆ ปะมาณออนซ์เดียว (ถ้วยกาแฟปกติประมาณ 6 ออนซ์ ถ้านึกไม่ออกลองเทียบกับขนาดของกาแฟกระป๋องที่มีขายในตู้แช่บ้านเรา) แล้วต้องดื่มทีเดียวให้หมด ใครสั่งเอสเพรสโซมานั่งจิบชมวิวทำเท่ห์แสดงว่าดื่มไม่เป็น
เอสเพรสโซแท้ๆ จะขมมาก เพราะกาแฟบดที่ใช้กับเอสเพรสโซจะผ่านการคั่วนานจนสีเข้ม เรียกว่า Dark roasted เมล็ดกาแฟที่ใช้อาจจะมาจากกาแฟพันธุ์แท้ หรืออาจจะเป็นกาแฟเบลนด์ที่แต่ละร้านทำขึ้นเอง ดังนั้นรสชาติและกลิ่นอาจจะต่างกันได้ แม้ว่าจะสั่งเอสเพรสโซเหมือนกัน