1. มองเรื่องแย่ๆ ในมุมใหม่
จำไว้ว่า “อาวุธสำหรับต่อกรกับความเครียดที่ดีที่สุดก็คือ ความสามารถของคนเราในการเลือกว่าจะคิดแบบไหน” อย่ามองข้ามพลังของความคิดบวก เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันจู่โจม ความคิดติดลบ ทำให้ความมั่นคงทางจิตใจสั่นคลอน ความเครียดจู่โจมได้มากขึ้น จะสุขหรือทุกข์คุณเลือกได้จากความคิด ‘สมมุติว่า คุณลืมของไว้ในรถตอนไปยิม ขณะเดินย้อนกลับมาที่รถอย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ คิดเสียว่าเป็นการวอร์มอัพเบาๆ ก่อนออกกำลังจริง แล้วคุณจะยิ้มได้’ นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้น คิดบวกฝึกฝนได้ เพราะสิ่งที่คุณต้องทำทุกวันแน่ๆ แทบจะตลอดเวลา คือ “คิด”
2. ระบายให้คนอื่นฟัง
ผลการสแกนสมองแสดงให้เห็นว่า ‘เมื่อคนเรารู้สึกเจ็บปวดทางใจและทางกาย วงจรในสมองส่วนเดียวจะสว่างขึ้น แต่วงจรที่ว่าจะทำงานช้าลงเมื่อเจ้าตัวได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างในชีวิตประจำวันมากขึ้น’ ดังนั้น “จงหาเพื่อนที่ไว้ใจได้สักคน ไว้ปรับทุกข์”
3. นึกถึงเรื่องดีๆ เข้าไว้
แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุความเครียด แต่คุณก็น่าจะเจอเรื่องดีๆ บ้างในแต่ละวัน ดังนั้น อย่าจมอยู่กับตัวเอง หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาเตือนใจให้ตัวเองยิ้มได้บ้าง อย่าปล่อยให้ความเครียดเปลี่ยนตัวคุณเองให้กลายเป็นมลพิษต่อคนรอบข้าง ‘การที่คุณมัวแต่คิดลบจนระบายออกมาเป็นคำพูดที่ไม่ดีและแสดงบทนางมารร้ายกับคนอื่น จะทำให้คุณอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น’ อย่าลืมว่าชีวิตยังมีแง่มุมที่สวยงาม การทำความดีจะทำให้คุณอิ่มเอม เบาสบาย หายเครียด เมื่อทำอะไรดีๆ แล้วก็อย่าลืมบันทึกไว้ในไดอารี หรือเล่าให้ใครสักคนฟัง แม้จะเพียงแค่ชะลอรถให้คนเดินข้ามถนน หรือให้คนอื่นแทนเข้าเลนก็ตาม เชื่อสิแค่นี้ก็ทำให้คุณยิ้มได้
4.ไปออกกำลังกาย
ซึ่งเป็นวิธีระบายความเครียดที่มีอยู่เหลือเฟือแบบได้ผลทันที และได้สุขภาพที่ดีเป็นของแถม แม้คุณจะเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่คุณก็ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมกับความเครียดในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกายหนักปานกลางสัปดาห์ละ 150 นาที มีส่วนช่วยลดระดับความเครียด และเพิ่มความเติบโตของเซลล์สมองใหม่ๆ ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก :: Women’s Health, November 2013