ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ หมายถึง, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความหมาย, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 1
ไทยกับสงครามโลกครั้งที่  ๒

           สงครามโลกครั้งที่  ๒  เกิดขึ้นในยุโรปตั้งแต่  พ.ศ. ๒๔๘๒  เมื่ออังกฤษ และฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี   แล้วเลยลุกลามเป็นสงครามโลก ทางด้านเอเชีย   ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาวันที่  ๘  ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๘๔  กองทหารญี่ปุ่นก็เข้าเมืองไทยทางสงขลา  ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์  นครศรีธรรมราช   สุราษฎร์ธานี   และสมุทรปราการ ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าโจมตีเกาะฮาวายฟิลิปปินส์   และส่งทหารขึ้นบกที่มลายู และโจมตีสิงคโปร์ทางเครื่องบิน   เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ขอร้องรัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ   และขอให้ระงับการต่อต้านของคนไทยเสีย   คณะรัฐมนตรีโดยมี  จอมพลแปลกพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี  ก็อนุโลมตามความต้องการของญี่ปุ่น  เพื่อรักษาชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทย ไทยได้ทำกติกาสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่  ๒๑ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๘๔ สงครามที่เกิดขึ้นในเอเชียนี้เรียกกันว่าสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นมีวัตถุประสงค์จะสร้างวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา (The  Greater  East  Asia  Co-prosperitySphere) ทั้งในทางวัฒนธรรม  การเมือง  และเศรษฐกิจ  ซึ่งประกอบด้วยประเทศต่างๆในเอเชีย  โดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำ
           ในระยะเริ่มแรกของสงคราม   กองทัพญี่ปุ่นมีชัยชนะทั้งทางบก  ทางเรือ และทางอากาศ      ทำให้รัฐมนตรีบางคนเห็นควรให้ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา  ด้วยคิดว่าญี่ปุ่นจะชนะสงคราม  ไทยจึงได้ประกาศสงครามเมื่อวันที่  ๒๕  มกราคมพ.ศ. ๒๔๘๕ ระหว่างสงครามนั้นญี่ปุ่นได้โอนดินแดนบางแห่งที่ยึดได้จากอังกฤษคืนให้แก่ไทย   คือ รัฐไทรบุรี  กลันตัน  ตรังกานู  ปะลิส  และสองรัฐในแคว้นไทยใหญ่  คือ  เชียงตุงและเมืองพาน
           ญี่ปุ่นแพ้สงครามเมื่อวันที่  ๒๔  สิงหาคม  พ.ศ. ๒๔๘๘  รัฐบาลไทยประกาศว่า การประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ  เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและความประสงค์ของประชาชนชาวไทย ไทยต้องปรับความเข้าใจกับสัมพันธมิตร   สหรัฐอเมริกามิได้ถือไทยเป็นศัตรู ตามประกาศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา   โดย   นาย  เจมส์  เบิรนส์  (James  Byrnes)รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม   แต่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ   นายเออร์เนสต์   เบวิน(Ernest  Bevin)  ไม่ยอมรับทราบการโมฆะของการประกาศสงครามง่ายๆ วันที่  ๑ มกราคมพ.ศ. ๒๔๘๙ (เวลานั้น   ม.ร.ว.  เสนีย์  ปราโมช  เป็นหัวหน้ารัฐบาล) ผู้แทนไทยได้ลงนามกับผู้แทนอังกฤษที่สิงคโปร์ ความตกลงนี้เรียกว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อเลิกสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" ที่สำคัญ คือไทยต้องคืนดินแดนของอังกฤษที่ได้มาระหว่างสงคราม  ให้ข้าวสารโดยไม่คิดเงินถึง ๑.๕  ล้านตัน  และต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ   แต่ต่อมาไทยเจรจาขอแก้ไขโดยฝ่ายอังกฤษสัญญาจะจ่ายเงินค่าข้าวสารให้บ้าง
           ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ   และได้เข้าเป็นสมาชิกเมื่อเดือนธันวาคมพ.ศ. ๒๔๘๙ โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ  เช่น  ทำสัญญาทางไมตรีกับจีน    (หลังสงคราม   จีนเป็นมหาอำนาจเพราะเป็นฝ่ายชนะสงครามด้วย สัญญานี้เป็นสัญญาฉบับแรกระหว่างไทยกับจีน  ทั้งๆ  ที่ได้มีไมตรีกันมานานนับร้อยๆ ปี) ไทยยอมรับรองสหภาพสาธารณรัฐโซเวียต โซเชียลิสต์   และไทยยอมคืนดินแดนที่เราได้มาจากอนุสัญญากรุงโตเกียวหลังสงครามอินโดจีนให้แก่ฝรั่งเศส
           การที่ไทยเอาตัวรอดได้ทั้งๆ ที่อยู่ในฝ่ายประเทศแพ้สงครามนี้  ขบวนการเสรีไทยมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศสัมพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเห็นใจเมืองไทย   ม.ร.ว.  เสนีย์  ปราโมช  อัครราชทูตไทยประาจำสหรัฐอเมริกาได้ประท้วงการประกาศสงครามของรัฐบาลไทย และได้รวบรวมคนไทยในสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นขบวนการเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น ในอังกฤษก็มีขบวนการเสรีไทยเช่นเดียวกันติดต่อกับหน่วยพลพรรคใต้ในดินประเทศ ซึ่งมีนายปรีดี   พนมยงค์  ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยทั้งหลายเตรียมที่จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับญี่ปุ่นตามวันเวลาที่นัดหมาย  พร้อมๆ กับกำลังของสัมพันธมิตรที่จะรุกเข้ามาทางพม่า  แต่ญี่ปุ่นได้ยอมแพ้เสียก่อน
           หลังสงครามโลกครั้งที่  ๒  ไทยได้ร่วมมือกับฝ่ายโลกเสรี  อันมีสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็นหัวหน้า ตั้งแต่  พ.ศ. ๒๔๙๓  รัฐบาลไทยยอมรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหารจากสหรัฐอเมริกา และใน พ.ศ. ๒๔๙๘   ก็ได้ร่วมมือกับประเทศอื่นๆ รวม๘  ประเทศ จัดตั้งองค์การป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   เรียกโดยย่อว่าองค์การซีโต หรือ สปอ. (SEATO-South East Asia  Treaty  Organization)  นอกจากนั้นไทยยังเป็นภาคีสมาชิกของแผนการโคลัมโบ (Columbo  Plan) ของประเทศในเครือจักรภพอีกด้วย  (แผนการโคลัมโบ เป็นโครงการเพื่อการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางด้านเทคนิคและด้านเศรษฐกิจของประเทศในเครือจักรภพ เริ่มขึ้นเมื่อ  พ.ศ. ๒๔๙๓   นอกจากประเทศในเครือจักรภพ  ซึ่งมีอังกฤษ  แคนนาดา  ออสเตรเลีย  และนิวซีแลนด์ เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะช่วยเหลือประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราช   ได้แก่อินเดีย  ปากีสถาน และลังกาแล้ว   ต่อมาได้มีประเทศต่างๆ  เข้ามาสมทบอีก  คือ  เขมร  ลาว เวียดนาม   พม่า  เนปาล อินโดนีเซีย  ไทย  ฟิลิปปินส์  ญี่ปุ่น  เกาหลี ภูฏาน  อัฟกานิสถาน  หมู่เกาะมัลดีฟ และสหรัฐอเมริกา)
          นอกจากความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ไทยยังได้ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อีก  เช่น  ได้ติดต่อค้าขายกับจีน อินเดีย ชวา   มลายู   ลังกา   เป็นต้นมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัยและสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวต่างประเทศเหล่านี้ได้อพยพเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเมืองไทยก็มีมาก สำหรับชาวจีนและชาวอินเดียนั้น  ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในเมืองไทยถึงกับมีตำแหน่งขุนนางที่เรียกว่า  "กรมท่าซ้าย" หรือตำแหน่ง "โชฎึกราชเศรษฐี"   หัวหน้าชาวจีน   และ  "กรมท่าขวา"  หรือตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี"เป็นหัวหน้าชาวมุสลิมทั้งหลาย   ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จีนได้แต่งทูตพร้อมเครื่องบรรณาการติดต่อกับไทยเสมอมาจนเกิดการเข้าใจผิดกันในข้อที่ว่าจีนถือว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของตนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่โปรดวิธีการตีขลุมของจีนจึงเลิกส่งบรรณาการไปเมืองจีนแต่นั้นมา แต่ยังคงติดต่อค้าขายกันอยู่เป็นปกติ  มีคนจีนอพยพมาตั้งรกรากทำมาหากินในเมืองไทยเป็นจำนวนมาก ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางก็มีไม่น้อย เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะทรงสร้างกรุงเทพมหานคร ฯ นั้น  โปรดให้สร้างพระมหามนเทียรขึ้นตรงที่เป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชาเศรษฐีและชาวจีนหมู่หนึ่งจึงโปรดให้ย้ายที่อยู่ของพระยาราชาเศรษฐีและชาวจีนหมู่นั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่แถบคลองวัดสามปลื้มจนถึงคลองวัดสามเพ็ง  สำหรับอินเดียนั้นสภาพการณ์ทางการเมืองทำให้ต้องเกี่ยวข้องกับไทยสมัยมาควิส   เฮสติงส์ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการอินเดีย      แล้วส่งทูตเข้ามาเมืองไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยดังได้กล่าวแล้ว สำหรับลังกานั้นก็ได้ติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนสมณทูตกับไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
          ทางด้านพม่า  ความสัมพันธ์กับไทยเป็นไปในด้านการสงครามเป็นส่วนใหญ่ ไทยกับพม่าทำสงครามขับเคี่ยวกันมาตั้งแต่สมัยศรีอยุธยา   นับเป็นเวลาประมาณเกือบ ๓๐๐  ปีในสมัยรัชกาลที่ ๑  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้น  ไทยได้ทำสงครามกับพม่าถึง  ๘  ครั้งด้วยกัน ครั้งสำคัญก็คือสงครามเก้าทัพ   เมื่อ   พ.ศ. ๒๓๒๘  และสงครามที่สามสบ  ท่าดินแดง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙  สงครามไทย-พม่าเพิ่งจะมาสิ้นสุดลงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่ออังกฤษได้เข้ามาแทรกแซงในพม่า    ได้ทำสงครามกับพม่าถึง๓  ครั้ง จนพม่าต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ   กองทัพไทยยังได้ยกเข้าไปในเขตแดนพม่าตามคำชักชวนของอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๖๗  นัยว่าเพื่อช่วยอังกฤษรบพม่า  แต่เกิดผลประโยชน์ขัดกันขึ้น ไทยจึงถอนทหารกลับ   อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อังกฤษส่งนายเฮนรี่  เบอร์นี  มายังกรุงเทพฯ  ดังกล่าวแล้ว
           ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จประพาสประเทศใกล้เคียงเมื่อต้นรัชกาล  คือ  ได้เสด็จไปสิงคโปร์และชวา เมื่อ  พ.ศ.  ๒๔๑๔  เมื่อกลับมาแล้วก็ได้เสด็จอินเดียและพม่าต่อไปอีก นับเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จไปพม่าในฐานะที่เป็นไมตรีกัน
           เขมรมีความสัมพันธ์กับไทยมาแต่สมัยโบราณ  อาณาจักรสุโขทัยซึ่งเดิมเรียกว่า"แคว้นสามเทศ"   หรือ "สยามเทศ" นั้นก็ขึ้นอยู่กับอาณาจักรเขมรมาก่อน ต่อมาคนไทยจึงได้รวบรวมกำลังยึดอำนาจการปกครองจากเขมร  ขับไล่เขมรออกไป ตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นราว   พ.ศ. ๑๘๐๐  ไทยรับวัฒนธรรมหลายอย่างมาจากเขมร เช่นขนบธรรมเนียมประเพณี  และศาสนาซึ่งเขมรรับมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง สมัยกรุงศรีอยุธยา     เขมรทำสงครามกับไทยหลายครั้ง และเคยตกอยู่ใต้อำนาจของไทย  อีกประเทศหนึ่งที่เขมรติดต่อใกล้ชิด คือ เวียดนาม  อันเป็นเหตุเกี่ยวโยงให้ไทยต้องไปมีความสัมพันธ์กับเวียดนามด้วย โดยเฉพาะต้นสมัยรัตนโกสินทร์    ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกษัตริย์เขมรคือสมเด็จพระนารายณ์ราชา  (นักองเอง)  นั้นก็เป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ของไทยทรงแต่ตั้งไปครอง "อาณาจักรกัมพูชา"  หรือเมืองเขมร  เมื่อเวียดนามเกิดกบฏไตเซิน (Tay-Son) ขึ้น มีเชื้อสายราชวงศ์เวียดนาม  ชื่อองเชียงสือ  หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๓๒๕ต่อมาองเชียงสือออกไปกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ  ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเวียดนามทรงพระนามว่า ยาลอง   (Gia-Long)  ครั้นสิ้นสมัยรัชกาลที่  ๑  แล้ว  เวียดนามแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อไทยเหมือนเดิม เช่น  ขอเมืองบันทายมาศคืนจากไทย  และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของเขมรอยู่เสมอ ในที่สุดได้เกิดสงครามยืดเยื้อขึ้นในรัชกาลที่  ๓เป็นเวลาถึง ๑๓ ปี อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนเขมรระหว่างไทยกับเวียดนาม แม่ทัพสำคัญของไทยในสงครามนี้   คือ  เจ้าพระยาบดินทร์เดชา  (ต้นสกุล  สิงหเสนี) ในที่สุดเจ้าเขมรชื่อนักองด้วงที่ฝ่ายไทยสนับสนุนอยู่ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี พระเจ้าแผ่นดินเขมร   แต่ในขณะเดียวกัน  เขมรก็ยังคงส่งเครื่องบรรณาการไปเวียดนาม ๓ ปีต่อครั้ง จนกระทั่งเวียดนามเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในพ.ศ. ๒๔๒๗  ทางกรุงกัมพูชา นักองราชาวดีซึ่งเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ฯ ได้กลับออกไปครองเมืองเขมรสืบต่อมาจากพระราชบิดา  เมื่อ  พ.ศ. ๒๔๐๓ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระนโรดม  แต่ครั้น พ.ศ. ๒๔๐๖ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยก็ต้องปล่อยให้เขมรตกอยู่ในความคุ้มครองของฝรั่งเศส ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสของไทย  เมื่อ  พ.ศ. ๒๔๑๐
          สำหรับลาว     อาจกล่าวได้ว่าลาวมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมากับไทย เพราะเป็นคนไทยที่ได้อพยพลงมาทางลุ่มแม่น้ำโขงด้วยกัน  แต่ได้แยกกันไปตั้งอาณาจักร สมัยขุนบรมครองอาณาจักรอยู่ที่เมืองแถง  โอรสองค์หนึ่งชื่อขุนลอหรือขุนซัว ได้แยกออกไปตั้งอาณาจักรลานช้าง  มีหลักฐานในศิลาจารึกว่า ลาวขึ้นอยู่กับไทยมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงบางครั้งที่ลาวมีประมุขที่เข้มแข็งลาวก็เป็นอิสระ เช่น สมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม ซึ่งปกครองลาวอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๖-๑๙๑๖ สมัยกรุงศรีอยุธยาลาวกับไทยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเป็นอิสระ บางครั้งขึ้นกับไทย เมื่อไทยรบพม่าสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระไชยเชษฐาแห่งอาณาจักรลานช้างก็เป็นมิตรกับอยุธยา โดยการส่งกองทัพลานช้างมาช่วย  อาณาจักรลาวได้รวมอยู่ในความปกครองของไทยโดยเด็ดขาดในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ ครั้งไทยได้หัวเมืองลาวทั้งหมดมาขึ้นกับไทย    คือ   รวมทั้งหลวงพระบาง จัมปาศักดิ์ สิบสองจุไทย  และหัวพันทั้งห้าทั้งหก  ในครั้งนั้น  ไทยได้นำพระแก้วมรกตซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งหลวงพระบางได้อัญเชิญไปจากเชียงใหม่ ตั้งแต่   พ.ศ.๒๐๙๕   กลับคืนมาประดิษฐานไว้ที่กรุงธนบุรี   สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏ ยกทัพลงมากวาดต้อนผู้คนถึงสระบุรี  กองทัพไทยปราบกบฏได้  ขณะที่กำลังทหารเมืองจัมปาศักดิ์ของลาวเข้ามากวาดต้อนผู้คนไปจากเมืองนครราชสีมานั้น คุณหญิงโมภรรยาพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาได้เป็นหัวหน้ารวบรวมสตรีและครอบครัวเมืองนครราชสีมาที่ถูกกวาดต้อนไปนั้น จับอาวุธขึ้นต่อสู้จนทัพลาวแตกหนี    เสร็จศึกแล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งคุณหญิงโมให้เป็นท้าวสุรนารี ครั้งนั้นโปรดให้ทำลายเมืองเวียงจันทร์เสีย   แล้วจัดการปกครองหัวเมืองลาวใหม่มาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อฝรั่งเศสได้เขมรและเวียดนามหมดแล้วก็เริ่มแผ่อำนาจเข้ามาในอาณาจักรลาว   เริ่มตั้งแต่ครั้งปราบศึกฮ่อเป็นต้นมา จนไทยเสียดินแดนอาณาจักรลาวทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสในรัชกาลนี้ดังกล่าวแล้ว
           ทางมลายู     เป็นที่เข้าใจกันว่าเมืองสำคัญในแหลมมลายู    เช่น  ไทรบุรี  ปัตตานี  นั้นอยู่ในครอบครองของไทยมาแต่สมัยสุโขทัย  ตามจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ไทรบุรีเคยขึ้นกับอาณาจักรศรีวิชัย  (อาณาจักรโบราณทางใต้)  มาก่อน ต่อมาเมื่อมะละกามีอำนาจก็ขึ้นกับมะละกาบ้าง  ขึ้นกับไทยบ้าง เมื่อมะละกาตกไปเป็นของโปรตุเกสก็ขึ้นกับไทยตลอดมา ส่วนปัตตานีนั้นขึ้นกับไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย  เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า หัวเมืองทางแหลมมลายูนี้ต่างก็ตั้งตัวเป็นอิสระใน พ.ศ. ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้กองทัพไทยไปตีไทรบุรี ปัตตานี คืนมาเป็นเมืองขึ้นของไทย ส่วนกลันตัน และตรังกานูนั้นก็พากันมาอ่อนน้อม ไทยได้จัดการปกครองหัวเมืองมลายูใหม่  เช่น  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้แบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง ให้เมืองนครศรีธรรมราชเป็นผู้ดูแลไทรบุรี   ส่วนปัตตานี  ตรังกานู ขึ้นกับเมืองสงขลา กลันตันซึ่งเคยขึ้นกับตรังกานูขอมาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ  อังกฤษเองขยายอำนาจมาทางมลายู เพื่อหาเมืองท่าทำการค้า เริ่มแต่ฟรานซิสไลท์ (Francis  Light) แห่งบริษัทอินเดียตะวันออกมาขอเช่าเกาะหมาก  (ปีนัง)  จากไทรบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ และอังกฤษได้โอกาสเข้าแทรกแซงหัวเมืองในมลายูแต่นั้นมา ครั้งหนึ่งเคยส่ง จอห์น ครอว์เฟิร์ด เข้ามาเจรจาขอให้เมืองไทรบุรีเป็นอิสระจากไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในที่สุดความพยายามของอังกฤษก็เป็นผลสำเร็จไทยต้องเสียเมืองขึ้นในมลายูให้แก่อังกฤษในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังกล่าวแล้ว
          ระหว่างสงครามโลกครั้งที่  ๒  ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองประเทศต่างๆ ที่เป็นอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกในเอเซีย  อันได้แก่  มลายู  สิงคโปร์ อินโดนีเซีย    ฟิลิปปินส์ตลอดจนพม่าและอินโดจีนของฝรั่งเศส    คือ เวียดนาม   ลาว   และเขมร   เมื่อสงครามสงบลงใน  พ.ศ. ๒๔๘๘  แล้ว มหาอำนาจต่างๆ กลับเข้าไปจัดการกิจการภายในประเทศเหล่านี้ใหม่ แต่ปรากฏว่าประชาชนในประเทศเหล่านี้ต่างพากันเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพ และในระยะนั้นมหาอำนาจก็ได้แบ่งออกเป็นสองค่าย  คือ ค่ายเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ   และค่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ
           หลังจาก พ.ศ. ๒๔๙๓  เป็นต้นมา  ประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมก็ได้รับเอกราชกันโดยลำดับ แต่บางประเทศก็ประสบปัญหายุ่งยากต่อมา เช่น  เวียดนาม  ซึ่งได้แบ่งประเทศออกเป็นสองฝ่าย  คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งเวียดนามเหนือ    ซึ่งมีโฮจิมินห์เป็นประมุข และมีสาธารณรัฐประชาชนจีนรับรอง   และเวียดนามใต้  ซึ่งมีอดีตจักรพรรดิเบาได๋เป็นประมุข และมีอังกฤษและสหรัฐอเมริการับรอง   ถึง  พ.ศ. ๒๔๙๘เมื่อเวียดนามใต้ได้เปลี่ยนฐานะไปเป็นสาธารณรัฐเวียดนามมีโงดินเดียมเป็นประธานาธิบดีสงครามระหว่างสองฝ่าย ก็ยังคงดำเนินไปจนฝ่ายเวียดนามเหนือได้เข้าครอบครองเวียดนามทั้งประเทศเมื่อ   พ.ศ. ๒๕๑๘ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ถอนตัวออกจากสงครามไปแล้ว
           ในลาวและเขมร   มีการต่อสู้ระหว่างสองค่ายนี้เช่นเดียวกัน   เช่น ในลาวมีขบวนการปะเทดลาวซึ่งร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเวียดนามเหนือ ในที่สุดประเทศทั้งสองก็ได้กลายเป็นสาธารณรัฐภายหลังชัยชนะของค่ายคอมมิวนิสต์ใน  พ.ศ. ๒๕๑๘
           ในมลายู  หลังจากขั้นตอนต่างๆ ของการรวมรัฐทั้งหลายเข้าด้วยกันในที่สุด ในพ.ศ.  ๒๕๐๖  ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์มาเลเซียขึ้นโดยรวมสิงคโปร์ ซาราวัก  และซาบาห์(บอร์เนียวเหนือ)  เข้าด้วย  แต่ต่อมาอีก  ๒  ปี สิงคโปร์ก็แยกตัวออกไปเป็นประเทศอิสระ
          ไทยเข้าร่วมอยู่ในค่ายเสรีประชาธิปไตย  เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่   ๒ ไทยได้มีความสัมพันธ์อันหลีกเลี่ยงไม่ได้กับสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ช่วยเหลือให้ไทยหลุดพ้นจากภาระอันหนักของประเทศแพ้สงคราม และสนับสนุนให้การประกาศสงครามของไทยต่อสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ ใน พ.ศ. ๒๔๙๒   รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์มีชัยชนะต่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของจอมพลเจียงไคเช็ค ซึ่งถอยมาตั้งเป็นอิสระอยู่ที่เกาะไต้หวัน   ไทยก็ได้มีสัมพันธภาพทางการทูตกับรัฐบาลที่ไต้หวันเป็นลำดับมา เมื่อเกิดสงครามเกาหลีขึ้นใน 
พ.ศ.๒๔๙๓  รัฐบาลไทยก็ได้ส่งกองทหารไปร่วมรบกับทหารชาติอื่นๆ ของสหประชาชาติ  และไทยยังได้เป็นสมาชิกขององค์การ  สปอ.  ดังได้กล่าวแล้ว
          ในพ.ศ. ๒๕๐๔  ฟิลิปปินส์  มาเลเซีย  และไทยร่วมกันจัดตั้งสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The  Association  of  Southeast  Asia)   หรือเรียกย่อๆ  ว่า  สมาคมอาสา  (ASA) ขึ้น และเมื่อมีการประชุมสมาคมอาสาใน  พ.ศ.  ๒๕๑๐  ได้ตกลงขยายเขตอาสาออกไปเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น   The   Association  of  Southeast  Asian  Nations  หรือเรียกย่อๆ ว่าสมาคมอาเซี่ยน  (ASEAN) ประกอบด้วย อินโดนีเซีย  ฟิลิปปินส์  มาเลเซีย  สิงคโปร์และไทย มีวัตถุประสงค์จะร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจ  สังคม  และวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก
           สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากอินโดจีนใน  พ.ศ. ๒๕๑๖ การสู้รบระหว่างสองค่ายในเวียดนาม ลาว  และเขมรสิ้นสุดลงเมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์  ได้เข้ายึดอำนาจในประเทศทั้งหมดไว้ได้ใน พ.ศ. ๒๕๑๘  ไทยต้องปรับปรุงนโยบายต่างประเทศใหม่    และได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ ทางการทูตระหว่างไทยกับจีนคอมมิวนิสต์ขึ้น   เมื่อวันที่  ๑  กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ สำหรับเวียดนามได้สถาปนาสัมพันธภาพทางการทูตขึ้นใหม่แล้ว มีการแลกเปลี่ยนทูตซึ่งกันและกัน  เอกอัครรัฐทูตเวียดนามได้เดินทางมารับตำแหน่งในประเทศไทยเมื่อวันที่  ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑  อนึ่ง  กิจการขององค์การ  สปอ.  นั้นได้มีการตกลงกันในกรุงวอชิงตัน เมื่อ  พ.ศ. ๒๕๑๘   ว่าจะล้มเลิกและก็ได้ค่อยๆ สลายตัวลงไป  ในที่สุดสำนักงานใหญ่ขององค์การในกรุงเทพ ฯ ก็ได้ปิดกิจการเมื่อวันที่  ๑ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๒๐
    
                                            (ดูเพิ่มเติมเรื่อง มหาราชในประวัติศาสตร์ไทย ในเล่ม ๒)

ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ หมายถึง, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความหมาย, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

บทความอื่น ของสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 4

สารานุกรมเล่มอื่นๆ

คำยอดฮิต

Sanook.commenu