ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

เศรษฐศาสตร์เล่มแรก, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก หมายถึง, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก คือ, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก ความหมาย, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 1
เศรษฐศาสตร์เล่มแรก

ทรัพยศาสตร์
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๕๔ โดยโรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
พิมพ์ครั้งที่สอง ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๔
โดย ดร.ทองเปลว ชลภูมิ
พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.๒๕๑๘ โดยสำนักพิมพ์พิฆเณศ
เล่ม ๓ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๗
พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๕๑๙

พระยาสุริยานุวัตร
(พ.ศ.๒๔๐๕ - ๒๔๗๙) ทรัพยศาสตร์ ประกอบด้วยหนังสือ ๓ เล่ม พระยาสุริยานุวัตร
(ผู้เขียน) เขียนขึ้นเพื่อเป็นตำราเศรษฐศาสตร์ มีลักษณะนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐ-
ศาสตร์และอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศตะวันตกในสมัยนั้น ขณะเดียวกันก็
นำเอาแนวคิดและกลไกระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย
โดยไม่ลืมรากฐานที่ไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนายากจน
ผู้เขียนได้ใฝ่ฝันที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาไปสู่ประเทศที่มั่งคั่ง เข้มแข็ง เป็นอิสระ
เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นธรรมในสังคม


ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๑ มี ๒ ภาค ภาคที่ ๑ การสร้างทรัพย์และ ภาคที่ ๒
การแบ่งปันทรัพย์

เนื้อหาวิชาเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสิกของ อดัม
สมิธ และเดวิด ริคาร์โต เป็นหลัก ชี้ให้เห็นกลไกทางเศรษฐกิจในระบบตลาด การสะ
สมทุน การลงทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มของทุน การแบ่งงานกันทำในสังคม กรรมสิทธิ์
ปัจจัยการผลิต สมาคมคนงานและการนัดหยุดงาน สหกรณ์ ความสำคัญของการ
ศึกษา และการออม ท่านไม่ได้นำทฤษฏีตะวันตกมาเสนอต่อสังคมไทยเท่านั้น หากยัง
แสดงปรารถนาที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตและเข้มแข็งขึ้นด้วย ท่านได้ชี้ปัญหา
ความยากจนของชาวนาไทย อันเกิดจากการขาดทุนรอน ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มี
หนี้สินภายใต้ระบบดอกเบี้ยสูง ทั้งยังขาดความรู้ในศิลปวิทยการสมัยใหม่อย่างตรง
ไปตรงมา

ท่านให้ความสำคัญกับชาวนามาก โดยเห็นว่า "ความเจริญของกรุงสยาม
ต้องอาศัยการทำนาเป็นส่วนใหญ่กว่าอย่างอื่น...จะเจริญเร็วและช้าก็สุดแต่ประโยชน์
ที่ชาวนาจะได้มากและน้อยเป็นสำคัญ" แต่ท่านเห็นว่าชนชั้นกลางจะเป็นกลุ่มที่สามารถ
สะสมทุนได้ เพราะชนชั้นสูงแม้มีรายได้มากก็มักใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไม่สนใจทำงาน ส่วน
ชนชั้นล่างยากจนมากชักหน้าไม่ถึงหลัง ด้วยความเห็นใจชนชั้นล่าง ท่านจึงเห็นด้วย
กับการจัดตั้งสมาคมคนงาน และการรวมตัวนัดหยุดงานที่ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลและ
ไม่ละเมิดผู้อื่น เห็นผลเสียของการแข่งขันและความขัดแย้ง และเห็นว่าวิธีการแบบ
สหกรณ์จะเป็นวิธีลดทอนความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับแรงงานลงได้ แต่ท่านไม่เห็น
ด้วยกับการล้มเลิกกรรมสิทธิ์เอกชน เพราะจะทำให้คนเฉื่อยชาท้อถอยในการงานได้

ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๒ เป็นส่วนของภาคที่ ๓ การแลกเปลี่ยน

เนื้อหาในส่วนนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนค้าขาย
อธิบายให้เห็นกลไกตลาด การค้าและการเงินอย่างละเอียด ท่านเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่
ป้องกัน ทั้งเขตแดนและผลประโยชน์ทางการค้าของพลเมือง "ป้องกันกสิกรรม
หัตถกรรม และพาณิชยกรรมของพลเมืองไม่ให้เสื่อมทรามลงเพราะการประมูลแก่ง
แย่งของนานาประเทศ... ยังจะต้องคิดต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า จะช่วยบำรุงอุดหนุนอย่าง
ไร อำนาจและกำลังของพลเมืองที่จะทำประโยชน์ขึ้นได้นั้นจะแข็งแรงพอที่จะต่อสู้
อำนาจเช่นเดียวกันของนานาประเทศได้"

ท่านเสนอให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องหัตถกรรมในประเทศไทย
โดยเห็นว่าในระยะแรกต้องปกป้อง ต่อเมื่อหัตถกรรมและอุตสาหกรรมในประเทศเกิด
ขึ้นมาพอ ก็จะเกิดความชำนาญและแข่งขันกันจนลดราคาลงมาพอที่จะส่งออกไปขาย
แข่งกับนานาประเทศได้ ในภาวะที่ประเทศและประชาชนยังขาดเงินทุน ท่านเห็นด้วย
กับการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งยังเห็นว่ารัฐควรมีหน้าที่จัด
หาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับชาวนาด้วย


ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๓ แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาคที่ ๑ ว่าด้วย การค้าระหว่าง
ประเทศ และภาคที่ ๒ ว่าด้วยการคลัง ลำดับหมวดเป็นการเรียงต่อจาก ๒ เล่มแรก

เนื้อหาในภาคแรก เป็นการฟื้นประวัติศาสตร์ด้านการค้าทางทะเลของไทย
ในสมัยโบราณ เพื่อชี้ว่าประเทศไทยเคยรุ่งเรืองจากการค้าทางทะเลมาก่อน โดยรัฐ
เป็นผู้นำการค้าทางทะเล และยังชี้ว่าในภาวะที่ต่างประเทศและการเดินเรือพาณิชย์ถูก
ครอบงำด้วยทุนต่างชาตินั้น "ถ้ารัฐบาลไม่นำหน้าและเป็นตัวค้าเองก่อน การค้าต่าง
ประเทศคงจะไม่กลับมาอยู่ในมือของชาติไทยอีกเป็นแน่"

เนื้อหาในภาคที่ ๒ เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ที่มาของเงิน
ได้ การจัดสรรงบประมาณ และการใช้นโยายการคลังเป็นเครื่องมือในการกระจาย
รายได้ ลดช่องว่างทางสังคม เนื้อหาบางส่วนวิจารณ์การคลังในยุคสมบูรณาญา
สิทธิรายย์ ว่าใช้จ่ายเงินในส่วนราชสำนักมาก และชี้ว่าที่มาของเงินได้แผ่นดินมาจาก
คนยากจน เห็นว่าควร "เลิกการเก็บรัชชูปการเสียทีเดียวจะดีกว่าที่จะปล่อยให้ความ
ไม่เป็นธรรมตกอยู่แก่ราษฎร" ท่านเห็นว่าควรเปลี่ยนโครงสร้างภาษี หันไปเก็บภาษี
ตามฐานรายได้และควรเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนมั่งมีแทนเพื่อ "ชักทุนของคนมั่งมี
ไปเสริมแก่คนยากจน"

ในเล่ม ๓ นี้ ท่านยังได้ย้ำเน้นประเด็นการตั้งกำแพงภาษี ที่ท่านเคยเขียน
ไว้ในเล่ม ๒ อีกว่า "ในสมัยปัจจุบันนี้ ต่างประเทศต่างชาติก็พยายามตั้งพิกัดอัตรา
ภาษีสินค้าเข้าเมือง โดยเหตุที่จะบำรุงการกสิกรรม หัตถกรรม และอุตสาหกรรมให้
ก่อสร้างตั้งตัวดำรงอยู่และเจริญยิ่งขึ้นได้ โดยเหตุที่จะมิให้คนต่างด้าวส่งสินค้าทับ
ถมเข้ามาขายแข่งราคาทำลายกสิกรรม และอุตสาหกรรมที่ทำกันอยู่" หนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์เล่มแรกชื่อว่า The Wealth of nation ทรัพยศาสตร์
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๕๔ โดยโรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
พิมพ์ครั้งที่สอง ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๔
โดย ดร.ทองเปลว ชลภูมิ
พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.๒๕๑๘ โดยสำนักพิมพ์พิฆเณศ
เล่ม ๓ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๗
พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๕๑๙

พระยาสุริยานุวัตร
(พ.ศ.๒๔๐๕ - ๒๔๗๙) ทรัพยศาสตร์ ประกอบด้วยหนังสือ ๓ เล่ม พระยาสุริยานุวัตร
(ผู้เขียน) เขียนขึ้นเพื่อเป็นตำราเศรษฐศาสตร์ มีลักษณะนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐ-
ศาสตร์และอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศตะวันตกในสมัยนั้น ขณะเดียวกันก็
นำเอาแนวคิดและกลไกระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย
โดยไม่ลืมรากฐานที่ไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนายากจน
ผู้เขียนได้ใฝ่ฝันที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาไปสู่ประเทศที่มั่งคั่ง เข้มแข็ง เป็นอิสระ
เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นธรรมในสังคม


ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๑ มี ๒ ภาค ภาคที่ ๑ การสร้างทรัพย์และ ภาคที่ ๒
การแบ่งปันทรัพย์

เนื้อหาวิชาเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสิกของ อดัม
สมิธ และเดวิด ริคาร์โต เป็นหลัก ชี้ให้เห็นกลไกทางเศรษฐกิจในระบบตลาด การสะ
สมทุน การลงทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มของทุน การแบ่งงานกันทำในสังคม กรรมสิทธิ์
ปัจจัยการผลิต สมาคมคนงานและการนัดหยุดงาน สหกรณ์ ความสำคัญของการ
ศึกษา และการออม ท่านไม่ได้นำทฤษฏีตะวันตกมาเสนอต่อสังคมไทยเท่านั้น หากยัง
แสดงปรารถนาที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตและเข้มแข็งขึ้นด้วย ท่านได้ชี้ปัญหา
ความยากจนของชาวนาไทย อันเกิดจากการขาดทุนรอน ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มี
หนี้สินภายใต้ระบบดอกเบี้ยสูง ทั้งยังขาดความรู้ในศิลปวิทยการสมัยใหม่อย่างตรง
ไปตรงมา

ท่านให้ความสำคัญกับชาวนามาก โดยเห็นว่า "ความเจริญของกรุงสยาม
ต้องอาศัยการทำนาเป็นส่วนใหญ่กว่าอย่างอื่น...จะเจริญเร็วและช้าก็สุดแต่ประโยชน์
ที่ชาวนาจะได้มากและน้อยเป็นสำคัญ" แต่ท่านเห็นว่าชนชั้นกลางจะเป็นกลุ่มที่สามารถ
สะสมทุนได้ เพราะชนชั้นสูงแม้มีรายได้มากก็มักใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไม่สนใจทำงาน ส่วน
ชนชั้นล่างยากจนมากชักหน้าไม่ถึงหลัง ด้วยความเห็นใจชนชั้นล่าง ท่านจึงเห็นด้วย
กับการจัดตั้งสมาคมคนงาน และการรวมตัวนัดหยุดงานที่ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลและ
ไม่ละเมิดผู้อื่น เห็นผลเสียของการแข่งขันและความขัดแย้ง และเห็นว่าวิธีการแบบ
สหกรณ์จะเป็นวิธีลดทอนความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับแรงงานลงได้ แต่ท่านไม่เห็น
ด้วยกับการล้มเลิกกรรมสิทธิ์เอกชน เพราะจะทำให้คนเฉื่อยชาท้อถอยในการงานได้

ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๒ เป็นส่วนของภาคที่ ๓ การแลกเปลี่ยน

เนื้อหาในส่วนนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนค้าขาย
อธิบายให้เห็นกลไกตลาด การค้าและการเงินอย่างละเอียด ท่านเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่
ป้องกัน ทั้งเขตแดนและผลประโยชน์ทางการค้าของพลเมือง "ป้องกันกสิกรรม
หัตถกรรม และพาณิชยกรรมของพลเมืองไม่ให้เสื่อมทรามลงเพราะการประมูลแก่ง
แย่งของนานาประเทศ... ยังจะต้องคิดต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า จะช่วยบำรุงอุดหนุนอย่าง
ไร อำนาจและกำลังของพลเมืองที่จะทำประโยชน์ขึ้นได้นั้นจะแข็งแรงพอที่จะต่อสู้
อำนาจเช่นเดียวกันของนานาประเทศได้"

ท่านเสนอให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องหัตถกรรมในประเทศไทย
โดยเห็นว่าในระยะแรกต้องปกป้อง ต่อเมื่อหัตถกรรมและอุตสาหกรรมในประเทศเกิด
ขึ้นมาพอ ก็จะเกิดความชำนาญและแข่งขันกันจนลดราคาลงมาพอที่จะส่งออกไปขาย
แข่งกับนานาประเทศได้ ในภาวะที่ประเทศและประชาชนยังขาดเงินทุน ท่านเห็นด้วย
กับการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งยังเห็นว่ารัฐควรมีหน้าที่จัด
หาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับชาวนาด้วย


ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๓ แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาคที่ ๑ ว่าด้วย การค้าระหว่าง
ประเทศ และภาคที่ ๒ ว่าด้วยการคลัง ลำดับหมวดเป็นการเรียงต่อจาก ๒ เล่มแรก

เนื้อหาในภาคแรก เป็นการฟื้นประวัติศาสตร์ด้านการค้าทางทะเลของไทย
ในสมัยโบราณ เพื่อชี้ว่าประเทศไทยเคยรุ่งเรืองจากการค้าทางทะเลมาก่อน โดยรัฐ
เป็นผู้นำการค้าทางทะเล และยังชี้ว่าในภาวะที่ต่างประเทศและการเดินเรือพาณิชย์ถูก
ครอบงำด้วยทุนต่างชาตินั้น "ถ้ารัฐบาลไม่นำหน้าและเป็นตัวค้าเองก่อน การค้าต่าง
ประเทศคงจะไม่กลับมาอยู่ในมือของชาติไทยอีกเป็นแน่"

เนื้อหาในภาคที่ ๒ เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ที่มาของเงิน
ได้ การจัดสรรงบประมาณ และการใช้นโยายการคลังเป็นเครื่องมือในการกระจาย
รายได้ ลดช่องว่างทางสังคม เนื้อหาบางส่วนวิจารณ์การคลังในยุคสมบูรณาญา
สิทธิรายย์ ว่าใช้จ่ายเงินในส่วนราชสำนักมาก และชี้ว่าที่มาของเงินได้แผ่นดินมาจาก
คนยากจน เห็นว่าควร "เลิกการเก็บรัชชูปการเสียทีเดียวจะดีกว่าที่จะปล่อยให้ความ
ไม่เป็นธรรมตกอยู่แก่ราษฎร" ท่านเห็นว่าควรเปลี่ยนโครงสร้างภาษี หันไปเก็บภาษี
ตามฐานรายได้และควรเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนมั่งมีแทนเพื่อ "ชักทุนของคนมั่งมี
ไปเสริมแก่คนยากจน"

ในเล่ม ๓ นี้ ท่านยังได้ย้ำเน้นประเด็นการตั้งกำแพงภาษี ที่ท่านเคยเขียน
ไว้ในเล่ม ๒ อีกว่า "ในสมัยปัจจุบันนี้ ต่างประเทศต่างชาติก็พยายามตั้งพิกัดอัตรา
ภาษีสินค้าเข้าเมือง โดยเหตุที่จะบำรุงการกสิกรรม หัตถกรรม และอุตสาหกรรมให้
ก่อสร้างตั้งตัวดำรงอยู่และเจริญยิ่งขึ้นได้ โดยเหตุที่จะมิให้คนต่างด้าวส่งสินค้าทับ
ถมเข้ามาขายแข่งราคาทำลายกสิกรรม และอุตสาหกรรมที่ทำกันอยู่" หนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์เล่มแรกชื่อว่า The Wealth of nation

เศรษฐศาสตร์เล่มแรก, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก หมายถึง, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก คือ, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก ความหมาย, เศรษฐศาสตร์เล่มแรก คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

คำยอดฮิต

Sanook.commenu