สอ เสถบุตร กับงานแห่งชีวิต?
อยากทราบชีวประวัติของ nbsp สอ เสถบุตร nbsp ว่ามีความเป็นมาอย่างไร nbsp และเป็นความจริงหรือไม่ว่า nbsp ดิกชันนารีไทย-อังกฤษ ฉบับที่ดีที่สุดซึ่งเขียนโดยท่านผู้เขียนเมื่อท่านถูกจำคุกอยู่ ชเนศ ชาญโลหะ ระยอง
อยากทราบชีวประวัติของ nbsp สอ เสถบุตร nbsp ว่ามีความเป็นมาอย่างไร nbsp และเป็นความจริงหรือไม่ว่า nbsp ดิกชันนารีไทย-อังกฤษ ฉบับที่ดีที่สุดซึ่งเขียนโดยท่านผู้เขียนเมื่อท่านถูกจำคุกอยู่ ชเนศ ชาญโลหะ ระยอง
สอ เศรษฐบุตร เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ ท่ามกลางความลำบากยากจนของบิดามารดา ซึ่งแต่งงานกันด้วยความไม่เห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย สวัสดิ์ เศรษฐบุตร บิดาของ สอ เป็นนักประดิษฐ์และชอบทำงานอิสระ ท่านจึงไปทำงาน และประดิษฐ์แป้นตัวอักษรให้แก่บริษัทพิมพ์ดีด สมิธ พรีเมียร์ ของพระอาจวิทยาคม หมอย็อช แม็คฟาแลน ผู้แต่งปทานุกรมอังกฤษเป็นไทยที่แพร่หลายที่สุดในสมัยนั้น สอ เศรษฐบุตร เคยติดตามบิดาไปที่บ้านคุณพระอาจฯหลายครั้ง อิทธิพลของคุณพระอาจฯ คงจะเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ สอ เศรษฐบุตร ตัดสินใจถือเอาการทำปทานุกรมเป็นงานแห่งชีวิต บิดาของ สอ เศรษฐบตร ถึงแก่กรรมขณะที่เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๗ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบ มารดาไม่มีรายได้พอที่จะส่งเสียเขาให้เรียนหนังสือต่อไปได้ สอ เศรษฐบุตร จึงไปหาอาจารย์ เอ จี โบมอนต์ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น เพื่อขอลาออกแต่อาจารย์โบมอนต์คัดค้านเต็มที่ พร้อมกับพาสอไปหาเพื่อนชาวอังกฤษ ชักชวนให้คนเหล่านั้นเรียนภาษาไทยกับสอ นับจากนั้นสอ เศรษฐบุตร จึงมีรายได้จากการสอนหนังสือเดือนหนึ่ง ๗๐-๘๐ บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนของนายทหารหรือข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ด้วยความเชื่อมั่นว่าตนมีความรู้ภาษาอังกฤษอย่างดี ดังนั้นเมื่อสอบชั้นมัธยมปีที่ ๗ ได้แล้ว สอ เศรษฐบุตร จึงไปสอบแข่งขันกับนักเรียนซึ่งส่วนใหญ่จบชั้นมัธยมปีที่ ๘ เพื่อชิงทุนกรมรถไฟไปเรียนเมืองนอก ปรากฏว่าเขาสอบได้ แต่นายแพทย์ผู้ตรวจร่างกายกลับรายงานว่า สอ เศรษฐบุตร มีร่างกายเล็กและผอมบางอาจจะทนกับอากาศหนาวในเมืองนอกไม่ได้ ประกอบกับคณะกรรมการเห็นว่าอายุยังน้อย จึงขอร้องให้เขาสละสิทธิ์ให้คนอื่นไปแทน สอ เศรษฐบุตร จึงเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมปีที่ ๘ ตั้งใจว่าจะสอบทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งให้แก่นักเรียนที่สอบไล่ชั้นมัธยมที่ ๘ ได้เป็นอันดับที่ ๑ และ ๒ สอ เศรษฐบุตร จุดตะเกียงคร่ำเคร่งดูหนังสือทั้ง ๆ ที่สุขภาพไม่แข็งแรง เขาไปสอบไล่ทั้ง ๆ ที่จับไข้ ผลปรากฏว่า สอ เศรษฐบุตร สอบได้เป็นที่ ๓ เขาจึงต้องเข้าเรียนซ้ำชั้นมัธยมปีที่ ๘ อีกปีหนึ่ง ในปีที่สองเขาเคราะห์ร้ายอีกที่เป็นไข้และเป็นคางทูมในระหว่างสอบ แต่คราวนี้โชคยังช่วยอยู่เพราะเขาสอบได้ที่ ๒ แต่เรื่องซ้ำรอยเดิมอีก เพราะเสนาบดีกระทรวงธรรมการได้ทัดทานเรื่องสุขภาพของเขา หากแต่มิสเตอร์จอห์นสัน ที่ปรึกษากระทรวงธรรมการในขณะนั้นเห็นใจ จึงพาไปหานายแพทย์ชาวต่างประเทศ และแพทย์ผู้นั้นลงความเห็นว่าแม้รูปร่างจะเล็กบาง แต่สุขภาพแข็งแรงดี จึงเห็นสมควรให้ สอ เศรษฐบุตร ไปเรียนเมืองนอกได้ สอ เศรษฐบุตร เดินทางไปอังกฤษ สอบเข้ามหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้ในลำดับชั้นหนึ่ง และได้เข้าเรียนวิชาธรณีวิทยาและการเหมืองแร่ตามหลักสูตรเกียรตินิยม ควบคู่กันไปกับวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สอ เศรษฐบุตร สำเร็จปริญญา B Sc HONS ทางธรณีวิทยาและประกาศนียบัตร F G S ในวิชาวิศวกรรมศาสตร์เป็นคนแรกของเมืองไทยภายในเวลาเพียง ๓ ปี ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวเข้าเรียนปริญญาโทต่อ ทางราชการก็เรียกตัวเขากลับเพื่อให้เข้าทำงานในกรมโลหะกิจและภูมิวิทยา ในระหว่างศึกษาอยู่ที่อังกฤษ สอ เศรษฐบุตร ฝักใฝ่อยู่กับการหนังสือพิมพ์ตลอดมา แม้กลับมาเมืองไทยนอกจากงานราชการแล้ว เขายังทำหนังสือ บางกอกการเมือง และเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Bangkok Daily Mail โดยใช้นามปากกาว่า |NaI Nakorn| นามปากกานี้เองที่ได้บิดผันชีวิตของสอ เศรษฐบุตร ให้ต้องผันแปรไป เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยในงานเขียนของเขา ดังนั้นหลังจากรับราชการในกรมโลหะกิจได้เพียง ๖ เดือน สอ เศรษฐบุตร ก็ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไปรับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในกรมราชเลขาธิการ สอ เศรษฐบตร เจริญก้าวหน้าในงานราชการ ได้รับพระราชทานยศ และบรรดาศักดิ์เป็นเสวกโท หลวงมหาสิทธิโวหารเจ้ากรมกองเลขาธิการองคมนตรี หรือเลขาธิการคณะกรรมการองคมนตรีสภาในระหว่างปี พ ศ ๒๔๗๓-๒๔๗๔ ได้มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติหนาหู และหนังสือพิมพ์ฝ่ายค้านได้พากันโจมตีรัฐบาลอย่างเต็มที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้หลวงมหาสิทธิโวหาร ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อควบคุมและดำเนินการต่อสู้กับหนังสือพิมพ์ฝ่ายค้านและแก้ข่าวลือต่าง ๆ ทั้งชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง ในที่สุดคณะราษฎร์ก็ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ หลวงมหาสิทธิโวหารถูกคณะผู้ก่อการสอบสวน และถูกย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ต่อมาอีก ๒-๓ เดือน ก็มีคำสั่งย้ายเขากลับไปรับราชการในกรมโลหะกิจเมื่อพิจารณาว่าตนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้มีอำนาจในคณะรัฐบาลขณะนั้น คงหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการไม่ได้ หลวงมหาสิทธิโวหารจึงตัดสินใจลาออกจากราชการ หลวงมหาสิทธิโวหารเกี่ยวพันกับกบฏบวรเดช ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๖ โดยเป็นผู้แปลแถลงการณ์ของฝ่ายกบฏเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อฝ่ายกบฏแพ้ เขาจึงถูกจับกุมระหว่างการพิจารณาคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถามหลวงมหาสิทธิโวหารว่า ต้องการจะเป็นพยานหรือจำเลย เขาตอบว่า “ ผมไม่อยากจะเป็นทั้งพยานและจำเลย ” คำตอบนี้เป็นเหตุให้หลวงมหาสิทธิโวหารต้องถูกศาลพิพากษาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๗๗ โดยไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกา ต่อมาหลวงมหาสิทธิโวหารก็ถูกถอดยศและบรรดาศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๗๗ เมื่อถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต สอ เศรษฐบุตร จึงคิดคำนึงว่า คนหนุ่มอย่างเขาซึ่งมีอายุเพียง ๓๐ ปี และได้รับการศึกษามาอย่างดีเยี่ยม ไม่สมควรที่จะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจที่จะทำปทานุกรมอังกฤษเป็นไทย เพื่อให้เป็นงานแห่งชีวิต และเพื่อให้เป็นรายได้สำหรับเลี้ยงมารดาและน้อง ๆ ทางบ้าน เมื่อแรกทำเพื่อน ๆ พากันหาว่าเขาบ้าที่เขียนปทานุกรมไม่เหมือนใคร เพราะมีตัวอย่างประโยคแสดงให้เห็นความหมายของคำนั้น ๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเพื่อน ๆ นักโทษการเมืองก็ช่วยเขาจดและคัดลอกเป็นต้นฉบับ ต่อมาพระยานิพนธ์พจนาถซึ่งเคยร่วมรับราชการด้วยกันในกรมราชเลขาธิการ และมีความเลื่อมใสและเชื่อมือในความสามารถของ สอ เศรษฐบุตร ก็ได้รับอาสาเป็นผู้พิมพ์จำหน่ายดิกชันนารีนั้น เงินค่าลิขสิทธิ์ที่ได้มารดาของ สอ เศรษฐบุตร เป็นผู้รับ การที่ สอ เศรษฐบุตร สามารถเขียนปทานุกรมอังกฤษเป็นไทยและไทยเป็นอังกฤษได้ลำพังคนเดียว โดยที่ปกติแล้วควรจะทำเป็นคณะ ก็เพราะ สอ เศรษฐบุตร มีความผสมผสานในความสามารถหลายแขนงอยู่ในตัว ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรทำให้เขาสามารถอธิบายศัพท์วิทยาศาสตร์และการช่างต่าง ๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง ความเป็นนักอ่านทำให้เขารอบรู้ในวรรณคคีต่าง ๆ เป็นอย่างดี ความเป็นนักหนังสือพิมพ์และนักการเมือง ทำให้ สอ เศรษฐบุตร มีความรู้รอบตัวอย่างกว้างขวางในวิชาการต่าง ๆ อาทิ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ลัทธิการเมือง และระบอบการปกครองของชาติต่าง ๆ และประการสำคัญที่สุดก็คือ ความเป็นนักเขียนซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้ สอ เศรษฐบุตร มีความคล่องในการเขียนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ยิ่งกว่านั้นก็คือ สอ เศรษฐบุตร เป็นคนรู้จักแบ่งเวลา และมีความอุตสาหะวิริยะอย่างยอดเยี่ยม สอ เศรษฐบุตร ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวางหลายปีก่อนถูกส่งไปยังเกาะตะรุเตาและเกาะเต่าในที่สุด เขาได้รับอิสรภาพเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๘๗ รวมเวลาที่ถูกคุมขังทั้งสิ้น ๑๐ ปี ๑๑ เดือน กับ ๒๐ วัน หลังจากได้วับพระราชทานอภัยโทษแล้ว สอ เศรษฐบุตร ก็กระโดดเข้าสู่วงการเมืองและวงการหนังสืออีก เขาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Liberty อันเป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษฉบับแรกที่ออกจำหน่ายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ภาษาอังกฤษชื่อ Leader เคยเป็นผู้แทนราษฎร จังหวัดธนบุรี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรสมัยรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ สอ เศรษฐบุตร เปลี่ยนตัวสะกดนามสกุลเป็น เสถบุตร ในยุคที่จอมพล ป พิบุลสงคราม ปฏิวัติอักขระภาษาไทย เมื่อปทานุกรมได้จำหน่ายแพร่หลายแก่ประชาชนทั่วไปในนาม สอ เสถบุตรจึงเป็นการยากและไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนกลับไปดังเดิม ก่อนเสียชีวิตเขาขายลิขสิทธิ์ปทานุกรมแบบขายขาดให้แก่สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช สอ เสถบตร เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๓ เหลือไว้แต่ |งานแห่งชีวิต| ที่มีประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังอย่างมหาศาล ตัดตอนจากหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ สอ เสถบุตรเขียนโดย พิมพวัลคุ์ เสถบุตร “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!