ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

วิตามินในเครื่องสำอาง, วิตามินในเครื่องสำอาง หมายถึง, วิตามินในเครื่องสำอาง คือ, วิตามินในเครื่องสำอาง ความหมาย, วิตามินในเครื่องสำอาง คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 1
วิตามินในเครื่องสำอาง

          ถ้าลองเข้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามศูนย์การค้าหรือชั้นวางผลิตภัณฑ์แชมพู น้ำยานวดผม ครีมบำรุงผิว จะพบว่า แต่ละผลิตภัณฑ์ จะเขียนรายละเอียดถึงส่วนประกอบต่างๆ ไว้ ในบรรดาส่วนประกอบนั้นๆ จะมีวิตามินรวมอยู่ด้วย เช่น วิตามินอี วิตามินเอ วิตามินเอฟ แพนทีนอล นิโคตินาไมด์ ไบโอติน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น วิตามินที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง มีผู้สงสัยว่าได้ประโยชน์หรือไม่ หรือเป็นเพียงคำโฆษณาเท่านั้น

          ข้อเท็จจริงก็คือ วิตามินต่างๆ เหล่านี้ออกฤทธิ์ตามทฤษฎี (ซึ่งจะได้กล่าวให้ทราบต่อไป) มีฤทธิ์จริงๆ และควรจะได้ผลตามฤทธิ์ที่มีอยู่ด้วย แต่ขณะเดียวกันเมื่อใช้ไปแล้ว ทุกคนก็ควรประเมินด้วยว่า เป็นอย่างนั้น จริงหรือไม่ เพราะฤทธิ์ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางห้องทดลองปฏิบัติการ ส่วนการนำมาทาผิวหรือผมนั้น เป็นการนำมาทาขณะที่ผิว และผมยังมีชีวิตอยู่บนร่างกายของเรา ผลอาจไม่เท่าขณะอยู่ในห้องทดลองก็ได้ ดังนั้นควรสังเกตว่า ได้ผลตามทฤษฎีจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการหลงงมงายตามทฤษฎีนั้น วิตามินต่างๆ มีฤทธิ์ดังต่อไปนี้



วิตามินอี

          ปกติละลายในน้ำมัน ตัวที่เป็น Tocoperol จะเป็นตัวที่ใช้กันมากที่สุดได้ผลต่างๆ ดีที่สุด โดยเป็นสารต้านอนุพันธ์อสิระ ทำให้ป้องกันการชรา ป้องกันการเกิดมะเร็ง แต่ตัวที่ใช้ในการผสมเครื่องสำอาง คือ tocopheryl acetate จะเป็นน้ำข้นเหนียวๆ เหลืองเข้มออกสีอ่อนๆ และออกฤทธิ์ได้ดี เมื่ออุณหภูมิของผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส และควรมี pH ประมาณ 3.5-8

คุณสมบัติของวิตามินชนิดนี้

          เป็นวิตามินคุ้มกันความชราดังกล่าวแล้ว และยังสามารถ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น โดยการผสมวิตามินอี 1-25% จะสามารถทำให้น้ำใต้ผิวหนังไม่ระเหยออกไป จึงมองดูผิวเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่นซึ่งถ้าสามารถเตรียมให้ได้ฤทธิ์ดังกล่าวแล้ว ก็คงจะทำให้หน้าผากไม่ย่น ตีนกาไม่เกิด ผิวที่แขนและอกเรียบเนียน จึงมีวิตามินอีขายตามท้องตลาดมากมา ราว ๆ 10 กว่าปีแล้ว

          นอกจากนี้วิตามินอี กระตุ้นให้บาดแผลหายเร็ว ดังนั้นเมื่อมีรอยถลอกหรือมีบาดแผล และเริ่มหายแล้ว การทาวิตามินอี จะช่วยให้แผลตื้น และไยคอลลาเจน สร้างสะสมออกมาป้องกันแผลเป็นอีกด้วย ฤทธิ์ที่สำคัญอีกอย่างของวิตามินชนิดนี้คือ ลดอาการแดง ลดอาการบวมจากการอักเสบ ลดการหลั่งสารฮีสตามีน ซึ่งสารนี้ทำให้เกิดอาการคันภายหลังถูกยุงกัด หรือการระคายผิว ดังนั้นผู้ที่ทาครีมผสมวิตามินชนิดนี้ ควรจะคันน้อยลง หรือไม่คันเมื่อถูกยุงกัด

          การทาวิตามินอีลงบนผิว จะถูกดูดซึมผ่านชั้นขี้ไคล หนังกำพร้า หนังแท้ ต่อมขนและต่อมไขมัน ลงไปสะสมอยู่ในส่วนต่างๆ นี้ ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แล้วสลายตัวไป

          ผลิตภัณฑ์ทาผิวเมื่อผสมวิตามินอีแล้ว จะทำให้ผิวหนังชุมชื้น อ่อนนุ่ม แก่ช้า ถ้าผสมลงในยากันแดด จะทำให้ยากันแดด มีคุณสมบัติป้องกันแดดได้มากขึ้นกว่าเดิม ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่ผสมวิตามินอี น่าจะมีผลในการป้องกัน การทำลายของเส้นผมจากแสงแดด ช่วยป้องกันชั้นเคอราติน (ชั้นนอกสุดของเส้นผม) ทำให้ผมมีความแข็งแรงทนทานต่อการ ไดร์ผม กระชากผม รวมถึงการดัดผม ยืดผม บ่อย ๆ ด้วย

          วิตามินอีได้รับความนิยมมากในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของหลายๆ บริษัท และวางขายทั่วไป มีทั้งราคาถูกและแพง ขายมาหลายปีแล้ว และยังครองใจผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ขอให้ผู้ใช้ประเมินผลกับตัวเองด้วย ว่าเป็นอย่างไรบ้างและบอกกล่าวมาบ้าง



ดี แพนทีนอล (D-panthenol)

          พบเห็นบ่อย ๆ มากในผลิตภัณฑ์สระผมหรือบำรุงผม จริงๆ แล้ววิตามินชนิดนี้มีอยู่ในผิวพรรณ ในรูปของ D-panthenol และ panthothenic acid ละลายได้ดีในน้ำ จึงอยู่ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมได้ดี มีหน้าที่ในการทำเกิดความชุ่มชื่น เพราะอุ้มน้ำไว้ ทำให้แผลหายเร็วเพราะกระตุ้นการติดของผิวหนังและเส้นผม เมื่อถูกทำลายด้วยสารเคมีต่าง ๆ

          เมื่อผสมลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผม จะออกฤทธิ์ป้องกันความแห้งกรอบ ของเส้นผม ซ่อมแซมผิวรอบนอกของเส้นผมที่ถูกกัดกร่อนโดยน้ำยาดัด น้ำยายืด และความร้อนจากการอบ ไดร์ผม ช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้มีเงางาม และยังป้องกันการเกิดรังแคด้วย

          ถ้าผสม D-panthenol ลงในครีมบำรุงผิว จะทำให้ผิวมีความ ชุ่มชื่น ลดการอักเสบ และความแดงแม้ตากแดดนาน นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ของผิวหนัง ทำให้แผลหายเร็ว ฤทธิ์ต่างๆ คล้ายกับวิตามินอี ยกเว้นไม่ป้องกันความชราเท่านั้น

          ลิปสติก บางยี่ห้อจะใส่ D-panthenol ด้วย เพื่อต้องการให้ริมฝี ปากมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งลอก และตกสะเก็ด ดังนั้นจึงควรเลือกลิปสติกที่ผสมวิตามินชนิดนี้มาใช้ในประจำวัน

          น้ำยาที่ใช้ภายหลังโกนหนวด (after shave lotion) บางชนิดก็ นิยมผสมวิตามินนี้ลงไปด้วย เพราะในการโกนหนวดมักมีบาดแผลถลอก เกิดได้โดยง่าย การทางผลิตภัณฑ์นี้จะทำให้แผลถลอกหายได้เร็ว และไม่ใคร่เกิดแผลเป็น

          น้ำยาทาเล็บ ก็นิยมผสม D-panthenol เช่นกัน โดยทำให้เล็บ เป็นเงางาม ตัดง่าย ไม่เปราะและฉีกขาดเมื่อกระแทก

          ยาสีฟันบางชนิดก็ผสมแต่ควรใช้ D-panthenol ไม่เกิน 1% โดยน้ำหนัก



วิตามินเอฟ

          ที่เคยได้ยินทางโฆษณาทีวี เมื่อประมาณปีที่แล้ว คือ ผสมลงในแชมพูชนิดหนึ่ง วิตามินตัวนี้สร้างได้ในร่างกายมนุษย์ มีคุณสมบัติในการป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวและเส้นผม นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวและเส้นผมซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีอีกด้วย

          ดังนั้นผลิตภัณฑ์แชมพูหรือครีมนวดผมที่ผสมวิตามินเอฟ จะช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้น ไม่แห้งกรอบและแตกปลาย ถ้าสัมผัสกับหนังศีรษะจะช่วยให้หนังศีรษะที่อักเสบจากน้ำยาดัด น้ำยาโกรกหรือน้ำยายืดผม หายอักเสบได้เร็ว และสุขภาพของหนังศีรษะ จะแข็งแรงขึ้น ไม่เกิดรังแคหรืออาการคันศีรษะได้ง่าย ส่วนครีมทาผิว ที่ผสมวิตามินเอฟ ก็จะมีความชุ่มชื้น อวบอิ่ม ไม่เหี่ยวย่น ง่ายก่อนถึงวัยอันสมควร



P-Biotin

           P-Biotin นิยมใส่ในผลิตภัณฑ์ถนอมเส้นผมพอประมาณ เพราะจริงๆ แล้ว วิตามินชนิดนี้มีอยู่ในปริมาณพอใช้ในเซลล์ผิว และเส้นผมที่เพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งคุณสมบัติคือ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ คล้ายผิวทารก และเส้นผมเป็นเงางาม บางบริษัทนิยมใส่ Biotin ในผลิตภัณฑ์ถนอมเล็บด้วย เพื่อให้เล็บเป็นเงางามและมองดูสะอาดตา

วิตามินเอ

          เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่า วิตามินเอ มีผลต่อผิวพรรณมาก ทั้งรับประทานและชนิดทา แต่ชนิดทานั้นก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากเท่า วิตามินอี อาจเป็นเพราะว่า วิตามินเอ ป้องกันความชราไม่ได้ พวกนักเคมีนำวิตามินชนิดนี้มาผสมในครีมทาผิว เพราะจะช่วยให้ผิวหนาและคงทนต่อการระคายเคือง จากแดดและสิ่งต่าง ๆ นอกจากยังทำให้การยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น แผลเป็นมีโอกาสได้น้อยภายหลังการเกิดบาดแผล

          ฤทธิ์ต่างๆ ของวิตามินที่กล่าวมานั้น เป็นฤทธิ์ทางทฤษฎี ที่ผู้ผลิตสินค้าหวังว่า วิตามินที่กล่าวมาทั้งหมดจะออกฤทธิ์ดังกล่าว จึงพยายามนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ถนอมผิวและถนอมผม แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ผลตอบสนองของผิวและเส้นผมของแต่ละบุคคล แตกต่างกันมาก บางรายอาจได้ผลดี บางรายอาจได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลชะลอความแก่ วิตามินอีนั้นต้องติดตามเป็นเวลาหลายปี จึงยากแก่การประเมินว่าได้ผลจริงมากน้อยเพียงใด

          ส่วนผลที่วิตามินต่างๆ ทำให้ผิวดูนิ่มนวลและชุ่มชื่น เห็นผลทันตา ภายหลังจากทาผิวแต่ก็เป็นผลระยะสั้นเท่านั้น ส่วนวิตามินในผลิตภัณฑ์ถนอมผมนั้น เห็นผลได้ไวกว่า เช่น ผมมันเงาและมีน้ำหนักขึ้น ไม่แตกปลายง่าย หรือถ้าไม่ได้ผล เราก็จะเห็นได้ภายใน 1-2 เดือน ก็เลิกใช้ไป และวิตามินต่างๆ เหล่านี้ มีราคาแพง ผู้ผลิตจึงไม่นิยมใส่ในปริมาณมากนัก เพื่อลดราคาต้นทุนลง จึงเป็นวิจารณญาณของผู้บริโภคว่า ควรพิจารณาใช้วิตามินเหล่านี้หรือไม่ โดยใช้ความรู้ภาคทฤษฎีดังได้กล่าวแล้ว


วิตามินในเครื่องสำอาง, วิตามินในเครื่องสำอาง หมายถึง, วิตามินในเครื่องสำอาง คือ, วิตามินในเครื่องสำอาง ความหมาย, วิตามินในเครื่องสำอาง คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

คำยอดฮิต

Sanook.commenu