ความรู้ เกร็ดความรู้ สารานุกรม สารานุกรมออนไลน์ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป พจนานุกรม เกมส์ เพลงใหม่ เพลง

การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ หมายถึง, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ คือ, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ ความหมาย, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ คืออะไร
| เปิดอ่าน 0 | ความคิดเห็น 1
การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ

          การปลูกพืช  หรือเพาะเมล็ดโดยวิธีนี้ เป็นการเตรียมกล้าพืชเพื่อใช้ปลูกก่อนที่จะปลูกในแปลงหรือในกระถางถาวร โดยเพาะเมล็ดในเนื้อที่แคบๆ จนกระทั่งต้นพืชที่เพาะหรือที่เรียกว่า "กล้า" หรือ "เบี้ย" มีขนาดโตพอจึงถอนย้ายไปปลูก วิธีปลูกพืชโดยการเพาะเมล็ดก่อนนี้ เหมาะสำหรับเมล็ดพืชที่มีราคาแพง  เนื่องจากการเพาะทำในเนื้อที่ไม่มากเมล็ดมีโอกาสสูญเสียน้อยเพราะสามารถดูแลได้ทั่วถึง  วิธีการนี้มักจะใช้กับพืชสวนผัก หรือไม้ดอกล้มลุก  รวมทั้งไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นที่เมล็ดมีขนาดเล็กหรือเจริญเติบโตช้า ได้แก่ การปลูกหรือเพาะเมล็ดพืชจำพวกมะเขือเทศ  กะหล่ำดอก  แอสเทอร์  พิทูเนีย  ฝ้ายคำ  ปาล์มขวด  เป็นต้น  ส่วนวิธีการเพาะเมล็ดนั้นอาจแบ่งออกเป็น ๒ แบบตามขนาดและความเหมาะสมในการปฏิบัติ คือ การเพาะเมล็ดในภาชนะเพาะและการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ          การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ  ส่วนมากเป็นการเพาะเมล็ดในฤดูกาลตามปกติ ซึ่งมีดินฟ้าอากาศอำนวย  ฉะนั้นงานใดที่ต้องใช้กล้าจำนวนมากๆ จึงมักจะใช้การเพาะเมล็ดโดยวิธีนี้ ความสำเร็จของการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะส่วนใหญ่มักจะขึ้นอยู่กับการเลือกสภาพพื้นที่และวิธีการเตรียมแปลงส่วนการดูแลรักษาต้นกล้านั้น ทำได้ง่ายในฤดูนี้
          ก. การเลือกที่และการเตรียมแปลงเพาะ มีวิธีปฏิบัติดังนี้
                    ๑. เลือกที่ที่มีวัชพืชขึ้นน้อย และดินมีความสมบูรณ์พอสมควร ไม่เป็นที่ที่เคยปลูกพืชอื่นมาก่อนโดยเฉพาะพืชที่เกิดโรคง่าย หรือแมลงชอบทำลาย
                    ๒. ถางหญ้าและเก็บเศษวัชพืชต่างๆ ออกให้หมด โดยเฉพาะวัชพืชที่มีหัวหรือเหง้า เช่น แห้วหมู  ผักเป็ด  ชันกาด  หรือหญ้าคา เป็นต้น
                    ๓. วางหรือกะแปลงเพาะให้หัวท้ายของแปลงอยู่ในแนวทิศเหนือและทิศใต้  และกะให้แปลงมีขนาดความยาวประมาณ ๖ เมตร  กว้างประมาณ๑.๒๐ เมตร
                    ๔. ถ้าเป็นพื้นที่ดินเหนียว  จะต้องฟื้นดินตากแดดให้แห้ง  การฟื้นดินควรฟื้นขึ้นเป็นรูป Dเพื่อให้มีพื้นที่ถูกแดดได้มาก  ซึ่งจะช่วยให้ดินแห้งร็วขึ้น
                    ๕. เมื่อดินแห้งดีแล้วจึงค่อยย่อยดิน พร้อมกันนี้จะใส่ปุ๋ยคอกลงไป  มากน้อยแล้วแต่ความสมบูรณ์และชนิดของดิน และอาจใส่ปูนขาวเล็กน้อย  เมื่อเห็นว่าดินมีฤทธิ์เป็นกรดมากเกินไป รดน้ำให้ดินชื้น จากนั้นจึงย่อยดินให้ทั่วแปลงสำหรับขนาดของดินที่ย่อยแล้ว  ควรจะมีขนาดราว ๑ ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยเฉพาะใน ระดับ ๑๐ เซนติเมตร จากผิวหน้าดิน แล้วจึงแต่งดินยกเป็นรูปแปลงตามขนาดที่กะไว้  โดยให้ตัวแปลงสูงจากพื้นทางเดินราว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร
                    ๖. เพื่อความแน่ใจว่าแปลงเพาะจะไม่มีโรคหรือแมลงที่เป็นศัตรูของเมล็ดและกล้าพืชที่เพาะจึงควรจะอบดินเสียก่อน เช่น อาจใช้สารเมทิลโบรไมด์ ในการอบฆ่าศัตรูในดิน เป็นต้น
          ข. การหว่านเมล็ดในแปลงเพาะ  นิยมหว่านเมล็ดทั่วแปลง แต่เนื่องจากแปลงเพาะมีขนาดกว้างจึงต้องแบ่งหว่านครั้งละซีกแปลง  การหว่านถือหลักเช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดในภาชนะเพาะในกรณีที่เมล็ดมีขนาดเล็ก หรือการย่อยดินไม่ละเอียดพอก่อนหว่านเมล็ดมักนิยมใช้ปุ๋ยคอกเก่าๆ หว่านให้ทั่วแปลง  แล้วรดน้ำให้ปุ๋ยคอกลงไปอุดช่องดินเสียก่อน  ทั้งนี้เพื่อป้องกันเมล็ดตกลงไปตามซอกก้อนดินซึ่งลึกเกินไปจนไม่อาจงอกและโผล่พ้นผิวดินได้การหว่านเมล็ดควรจะหว่านพอบางๆ ก่อนแล้วจึงหว่านทับอีกเมื่อเห็นว่าเมล็ดตกบางเกินไป  ส่วนการกลบดินทับเมล็ดก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการเพาะเมล็ดในภาชนะเพาะ
          ค. การทำร่มให้แก่ต้นกล้าในแปลงเพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเมล็ดในภาชนะเพาะหรือเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ  จะต้องทำร่มให้แก่กล้าที่เพาะเช่นเดียวกัน  ตั้งแต่ระยะที่กล้าพืชเริ่มงอกจนกระทั่งถึงระยะย้ายปลูก ทั้งนี้เพื่อป้องกันสภาพธรรมชาติเป็นต้นว่าฝนแรงและแดดจัด ซึ่งกล้าพืชที่ยังอ่อนๆหรือเพิ่งเริ่มงอกไม่อาจทนได้  การทำร่มให้แก่แปลงเพาะนี้โดยหลักการก็คือ เมื่อต้นพืชยังเล็กอยู่ก็จะให้แสงแต่น้อย คือ ให้เฉพาะเช้าหรือเย็นขณะที่แดดยังไม่ร้อนเกินไป  แต่เมื่อต้นพืชโตขึ้นก็จะให้แสงให้มากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงระยะถอนย้าย  ซึ่งจะไม่ให้ร่มแก่กล้าพืชเลย ทั้งนี้เป็นการช่วยให้ต้นกล้าที่จะถูกถอนย้ายปรับตัวที่จะไปอยู่สภาพแปลงปลูกใหม่ได้ดีขึ้น  สำหรับการทำร่มพรางแสงนั้น จะใช้วัตถุอะไรก็ได้ที่ทึบแสงมาวางให้สูงจากกล้าพืชพอสมควรโดยจัดวางให้กล้าพืชได้รับแสงแต่น้อย  แต่ถ้าเป็นการให้ร่มที่ต้องการป้องกันฝนด้วยก็อาจใช้ผ้าพลาสติกที่โปร่งแสงหรือผ้าฝ้ายสีขาวทำเป็นผืนยาวเท่าขนาดแปลงคลุมทับโครงไม้ที่ปักคร่อมแปลงเพาะอยู่วิธีเตรียมโครงไม้และผ้าคลุม ปฏิบัติดังนี้
                    ๑. ใช้ไม้ไผ่ผ่าเป็นซีก   กว้างประมาณ๓-๕ ซม. ยาวประมาณ ๒.๕ เมตร เหลาให้อ่อนพอโค้งได้  ปักคร่อมแปลงให้แต่ละอันห่างกันราว๗๐ ซม. และให้โค้งบนสูงสุดจากพื้นแปลง ๘๐-๙๐ซม.  ซึ่งถ้าแปลงยาว ๖ เมตร  จะต้องปักไม้โค้งนั้น ประมาณ ๘ อัน
                    ๒. ปักหลักกลางตามขวางของแปลงสำหรับเป็นที่ขึงลวดตามยาวตลอดแปลง ๓ หลัก โดยปักหัวท้ายข้างละหนึ่งหลัก และกลางแปลงหนึ่งหลักและควรปักให้สูงประมาณ ๘๐-๙๐ ซม. หรือให้หัวหลักเสมอระดับไม้โค้ง  แล้วใช้ลวดขนาด ๑
๑๖ นิ้วขึงตลอดทั้ง ๓ หลัก
                    ๓. ปักหลักสำหรับผูกลวดที่ร้อยผ้าคลุมแปลงทั้งสองข้างแปลง ข้างละ ๒ หลัก โดยปักที่มุมแปลงมุมละหนึ่งหลัก รวมเป็นสี่หลัก และปักให้สูงจากพื้นดินประมาณ ๓๐ ซม.
                    ๔. ใช้ผ้าดิบสีขาวชนิดหนายาวเท่าความยาวของแปลง  และมีหน้ากว้างราว ๑๗๐ ซม. โดยใช้ผ้าหน้ากว้าง ๙๐ ซม.  เย็บติดกัน ๒ ผืน  แล้วทำหูสำหรับร้อยลวดที่ชายทั้งสี่ด้าน  ก่อนใช้ผ้าควรซักเพื่อให้หมดแป้งเสียก่อน  แล้วอาบด้วยยาป้องกันเชื้อราเพื่อป้องกันผ้ามิให้ผุง่าย
                    ๕. ใช้ลวดร้อยหูด้านข้างตามยาวทั้งสองด้าน และหลังจากที่เพาะเมล็ดเรียบร้อยแล้ว  จึงคลุมผ้าบนไม้โค้ง แล้วผูกลวดติดกับหลักที่ปักไว้ตรงมุมแปลงทั้ง ๔ หลักให้แน่น จากนั้นก็คอยปรับแสงให้มากน้อยตามความต้องการของกล้า  จนกว่าจะถึงเวลาย้ายปลูกลงแปลงต่อไป
          ง. การดูแลรักษาต้นกล้า  จุดมุ่งหมายในการดูแลรักษาต้นกล้าก็คือเพื่อเลี้ยงดูกล้าพืชให้แข็งแรงพ้นจากการทำลายของโรคโคนเน่าคอดิน  สำหรับการดูแลรักษากล้าพืชในระยะแรกก็คือ การเปิดให้ต้นกล้าได้รับแสงหลังจากที่งอกโผล่พ้นผิวดิน  นอกจากแสงแล้วอุณหภูมิก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญของกล้าพืชอีกด้วย  โดยปกติอุณหภูมิขนาดปานกลางถึงค่อนข้างต่ำจะช่วยให้กล้าพืชเจริญได้แข็งแรงซึ่งถ้าเป็นพืชฤดูหนาวก็ควรจะอยู่ในช่วงของอุณหภูมิ ๖๐° - ๖๕°ฟ. ในเวลากลางวัน แลอุณหภูมิที่ต่ำว่านี้ ๕° - ๑๐°ฟ. ในเวลากลางคืน ส่วนพืชฤดูร้อนควรจะมีอุณหภูมิราว ๗๐° - ๗๕°ฟ. ในเวลากลางวัน และอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้ ๕° - ๑๐°ฟ. ในเวลากลางคืน การให้น้ำแก่กล้าพืชก็เป็นเรื่องสำคัญ คือ จะต้องคอยสังเกตความชื้นในแปลงเพาะและความต้องการน้ำของกล้าพืชเป็นสำคัญ  โดยรักษาระดับความชื้นในแปลงเพาะให้พอเหมาะไม่มากเกินไปจนทำให้อากาศถ่ายเทในดินไม่สะดวก  อันจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินระบาดได้รวดเร็ว  โดยทั่วไปขณะที่กล้าพืชยังเล็กอยู่ รากยังมีน้อย ควรจะรดน้ำให้บ่อยครั้ง  เพื่อช่วยให้รากเจริญได้เร็วขึ้นแต่เมื่อกล้าเจริญได้ดีพอแล้ว  อาจจะงดการให้น้ำได้บ้าง แต่ก็ควรให้แปลงเพาะชื้นอยู่เสมอ  การรดน้ำกล้าพืชควรจะทำตอนเช้าหรือตอนบ่าย ๓-๔ โมงเย็น เพื่อให้น้ำจับต้นกล้าได้มีโอกาสแห้งโดยเฉพาะในตอนเย็น  ซึ่งจะเป็นการป้องกันโรคได้ทางหนึ่ง  และถ้ามีการเกิดโรคก็ควรจะงดการรดน้ำตอนเย็นเสียโดยรดแต่ตอนเช้าเพียงเวลาเดียว พร้อมกันนี้ก็ควรใช้ยาป้องกันเชื้อรารดกล้าพืชที่เป็นโรคนั้นจนกว่าโรคนั้นจะหายไป
          จ. การย้ายกล้า ในกรณีที่การหว่านเมล็ดหนาเกินไป และเมล็ดงอกเบียดเสียดกันมาก  ซึ่งถ้าไม่ถอนย้ายก็อาจทำให้เกิดโรคโคนเน่าคอดินได้ง่ายขึ้นเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจย้ายกล้าไปปลูกเสียขั้นหนึ่งก่อนเป็นการย้ายปลูกชั่วคราวก่อนที่จะย้ายลงแปลงหรือกระถางถาวร  การย้ายกล้าในระยะนี้ควรจะทำเมื่อกล้าพืชมีใบจริง ๒-๓ ใบ  และมีขนาดพอที่จะหยิบจับได้ถนัดพอสมควร  การย้ายปลูกชั่วคราวนี้   มักนิยมใช้กระบะไม้เป็นภาชนะในการย้ายปลูก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายไปปลูกในที่ต่างๆ ได้สะดวก การเตรียมกระบะและเตรียมดินย้ายปลูกทำเช่นเดียวกับการเพาะเมล็ด  จากนั้นก็ดำเนินการย้ายปลูก โดยใช้ไม้กดดิน  กดดินในกระบะให้เป็นรูในตำแหน่งที่จะย้ายปลูก  แล้วจึงย้ายต้นกล้าลงไปปลูกในรูที่เตรียมไว้  กดดินให้กระชับรากพืช  แล้วรดน้ำให้โชก ใน ๒-๓ วันแรกควรคลุมหรือเก็บกระบะไว้ในที่ร่มและชื้นจนกว่าต้นพืชจะตั้งตัวซึ่งจะใช้เวลา ๒-๓ วัน  จากนั้นก็เป็นการเลี้ยงดูต้นกล้าให้เจริญเติบโตเช่นเดียวกับปฏิบัติกับกล้าพืชทั่วๆไป  เมื่อต้นพืชเจริญดีและมีขนาดพอที่จะย้ายปลูกลงกระถางหรือแปลงปลูกถาวร  จึงค่อยย้ายปลูกอีกครั้งหนึ่ง  สำหรับความสำเร็จในการย้ายกล้าพืชไปปลูกในที่อื่น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่กล้าพืชจะพึงได้รับเมื่อถูกย้ายออกไป  ถ้าสภาพแวดล้อมใหม่ใกล้เคียงกับสภาพของต้นกล้าที่ได้รับขณะอยู่ในแปลงเพาะหรือแปลงย้ายปลูกชั่วคราว   ความสำเร็จในการย้ายปลูกก็จะมีมาก  แต่ถ้าสภาพแวดล้อมใหม่แตกต่างไปจากสภาพแวดล้อมเดิมมากการย้ายปลูกก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  ในกรณีของการย้ายกล้าไปปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิมมากๆ นี้ จำเป็นต้องทำให้กล้าพืชแข็งตัวซึ่งอาจทำได้โดยทำให้กล้าพืชชะงักการเจริญ ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นพืชสะสมอาหารประเภทแป้งไว้มากอันจะทำให้ต้นพืชสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดีขึ้น  ในการทำให้กล้าพืชแข็งตัวนี้อาจทำได้โดยรดน้ำต้นกล้าให้น้อยลง หรืออาจใช้โพแทสเซียมคลอไรด์ (KC1) อัตราส่วน ๑:๒๕๐-๓๐๐ ละลายน้ำรดต้นพืช  ซึ่งควรจะจัดทำก่อนที่จะย้ายปลูกไปที่ใหม่ประมาณ ๗-๑๐ วัน สำหรับการปฏิบัติ ในการถอนย้ายต้นกล้า  ก่อนอื่นจะต้องรดน้ำให้ดินในแปลงเพาะชุ่มและอ่อนตัว  ซึ่งเมื่อถอนย้ายแล้วต้นพืชจะได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด การถอนย้ายก็ควรจะมีดินติดไปบ้างเล็กน้อย  เพื่อกล้าพืชจะได้ตั้งตัวได้เร็วขึ้น โดยจะต้องพิจารณาความสามารถในการตั้งตัวของพืชแต่ละชนิดและสภาพแปลงปลูกใหม่ที่จะถอนย้ายไปปลูกด้วย  หลังจากการปลูกแล้วจะต้องรดน้ำให้ชุ่มและควรทำร่มให้เป็นการชั่วคราว ๒-๓ วัน จนกระทั่งกล้าพืชตั้งตัวได้  พร้อมทั้งคอยรดน้ำอย่าให้กล้าพืชเหี่ยวเพราะขาดน้ำในระยะนี้ได้
          การใช้ปุ๋ยเร่งจะช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้นปุ๋ยที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยผสมที่มีฟอสฟอรัส (P2O5)สูง เช่น ใช้สูตร N:P:K = ๑๐:๕๒:๑๗ ในอัตรา ส่วน ๕-๖ ปอนด์  ต่อน้ำ ๑๐๐ แกลลอนหรือประมาณ๒.๓-๒.๗ กก.  ต่อน้ำ ๔๐๐ ลิตร รดกล้าพืชหลังจากการย้ายปลูกใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้กล้าพืชตั้งตัวเร็วขึ้นแต่ต้องระวังอย่าใช้ให้เข้มข้นมาก โดยเฉพาะเมื่อดินมีความชื้นน้อยหรือรดน้ำไม่พอขณะที่ย้ายปลูกใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้กล้าพืชได้รับอันตรายได้

การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ หมายถึง, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ คือ, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ ความหมาย, การเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือในภาชนะ คืออะไร

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

บทความอื่น ของสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 5

สารานุกรมเล่มอื่นๆ

คำยอดฮิต

Sanook.commenu