กระจกส่องหน้า?
nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp ทราบมาเลา ๆ nbsp ว่า nbsp กระจกส่องหน้าในยุคแรก ๆ ทำด้วยโลหะ nbsp แต่ไม่ทราบว่าจุดเริ่มต้นของกระจกส่องหน้าที่ทำด้วยแก้วเริ่มขึ้นเมื่อใด ผ่องศรี nbsp พรหมสว่าง กรุงเทพฯ
nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp nbsp ทราบมาเลา ๆ nbsp ว่า nbsp กระจกส่องหน้าในยุคแรก ๆ ทำด้วยโลหะ nbsp แต่ไม่ทราบว่าจุดเริ่มต้นของกระจกส่องหน้าที่ทำด้วยแก้วเริ่มขึ้นเมื่อใด ผ่องศรี nbsp พรหมสว่าง กรุงเทพฯ
เพราะน้ำสามารถสะท้อนภาพได้ น้ำจึงนับเป็นกระจกบานแรกของมนุษยชาติ ต่อมาในยุคสำริด ประมาณ ๓ ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล จึงได้มีการคิดประดิษฐ์กระจกจากแผ่นโลหะ โดยนำมาขัดให้เป็นมันวับสะท้อนภาพได้ นอกจากนี้ยังมีขนาดพอเหมาะ สามารถถือหรือพกติดตัวไปไหนมาไหนได้ ทางแถบเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนมักเข้าด้ามกระจกโลหะด้วยไม้ งาช้าง หรือไม่ก็ด้วยทองคำ ส่วนชาวอียิปต์จะแกะสลักด้ามถือของกระจกเป็นลวดลายวิจิตรสวยงามมาก ที่นิยมคือแกะเป็นรูปสัตว์ ดอกไม้ และนกต่าง ๆ ในบรรดากระจกที่พบตามสุสานของชาวอียิปต์ ลายที่พบมากที่สุดเป็นภาพคนกำลังทำท่ายกตัวกระจกส่วนบนอยู่ สมัยนั้น มีชาวอิสราเอลมาเรียนงานฝีมือจากชาวอียิปต์ไม่น้อยชาวอิสราเอลจึงพากันนิยมกระจกโลหะตามไปด้วย เล่ากันว่า เมื่อโมเสสต้องการจะทำอ่างทองเหลืองวางบนแท่นบูชาสำหรับใช้ในพิธีกรรม เขาได้สั่งให้ผู้หญิงชาวอิสราเอลทุกคนสละกระจกเพื่อใช้หลอมเป็นอ่าง และกระจกที่รวบรวมได้นั้นมีจำนวนมากถึงกับเหลือทำฐานอ่างได้อีกด้วย ต่อมาเมื่อ ๓๒๘ ปีก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ตั้งโรงเรียนสอนทำกระจกขึ้น การทำกระจกเป็นงานศิลปะที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน และความประณีต คือในการขัดกระจกจะต้องไม่ให้แผ่นโลหะด้านที่ใช้สะท้อนภาพเป็นรอยขีดข่วนเพราะเม็ดทรายที่ใช้ขัด กระจกของกรีก มี ๒ แบบ คือ แบบแผ่นกลมกับแบบทำเป็นกล่องเปิดและปิดได้ แบบแผ่นกลม ด้านหน้าจะขัดเป็นเงา ส่วนด้านหลังแกะหรือประดับตกแต่งให้เป็นภาพนูนสวยงาม บางบานจะมีขาสำหรับตั้งบนโต๊ะได้ด้วย ส่วนแบบกล่องนั้น เป็นแผ่นกระจกสองบานประกบเข้าหากันเหมือนเปลือกหอย ด้านหนึ่งขัดจนเป็นเงาสะท้อนภาพได้ ส่วนอีกด้านเป็นเหมือนฝาปิดจึงไม่ขัด ปล่อยให้ด้านไว้ การทำกระจกเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูมากในหมู่ชาวอีทรัสคัน และชาวโรมัน กล่าวได้ว่าโลหะทุกชนิดทั้งที่หาได้ในเมืองหรือสั่งเข้ามาจะนำมาขัดให้เป็นมันจนสะท้อนเงาได้ทั้งสิ้น แต่โลหะที่นิยมมากคือเงิน เพราะให้ภาพสะท้อนที่สมจริงกว่า ต่อมาเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนคริสตกาลกระจกเงินเสื่อมความนิยมลง ผู้คนหันมาสนใจกระจกทองแทน มีบันทึกเขียนไว้ว่า แม้แต่สาวใช้ในบ้านเศรษฐียังอยากได้กระจกทองมาก ถึงกับยอมแลกกับค่าจ้าง กระจกที่เป็นโลหะขัดมันนิยมใช้กันเรื่อยมา จนถึงปี ค ศ ๑๓๐๐จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อมีการพัฒนาการทำแก้วให้เป็นกระจกได้ แต่เดิมแม้จะมีการหลอมและเป่าแก้วเป็นขวด แก้วน้ำ และเครื่องประดับกันแล้ว แต่การนำมาทำเป็นกระจกเงานั้นเริ่มในปี ค ศ ๑๓๐๐ ที่เมืองเวนิส โดยฝีมือของช่างเป่าแก้วชาวเวนิส งานเป่าแก้วนับได้ว่าเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมที่ช่างทั้งหลายจะต้องพยายามค้นหาวิธีการใหม่ ๆ แต่งานทำกระจกสมัยนั้นจะสำเร็จได้ก็ด้วยฝีมือของผู้ที่มีความชำนาญอย่างยิ่งเท่านั้น เพราะแก้วต่างจากโลหะ ไม่สามารถขัดเพื่อให้เป็นเงาสะท้อนภาพได้ ตอนเทเนื้อแก้วเป็นแผ่นบางจึงต้องใช้ฝีมือและความชำนาญให้ได้แผ่นกระจกเรียบในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ช่วงแรก ๆ กระจกที่ได้ก็ยังขุ่นและให้ภาพบิดเบี้ยวอยู่ เวนิสในช่วงศตวรรษที่ ๑๔ นั้น ภาพพจน์ในสังคมเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้มีฐานะทั้งชายและหญิงจะอวดความมั่งมีโดยสวมสร้อยคอทองคำมีกระจกห้อยเป็นเหมือนจี้เพชร แม้ภาพที่ปรากฏในกระจกจะดูแย่เพียงไร แต่ภาพพจน์ของคนที่สวมจี้กระจกแก้วในสายตาคนอื่นแล้วกลับเป็นภาพของคนร่ำรวยมั่งคั่ง นอกจากกระจกประดับสร้อยแล้วผู้ชายยังนิยมนำกระจกแก้วเล็ก ๆ ประดับที่ด้ามดาบ ส่วนบรรดาเชื้อพระวงศ์จะสะสมกระจกแก้วที่เข้ากรอบด้วยงาช้างบ้าง เงินหรือทองบ้าง เพื่ออวดกันมากกว่าที่จะนำมาใช้ประโยชน์ กระจกแก้วยุคแรก ๆ จึงใช้สะท้อนแสงมากกว่าสะท้อนภาพ เพราะใช้ส่องดูได้ไม่ดีแต่กลับกลายเป็นของประดับที่มีค่า คนสมัยต่อ ๆ มาพยายามปรับปรุงกระจกให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปี ๑๖๘๗ ชาวฝรั่งเศสชื่อ Bernard Perrot จึงสามารถคิดวิธีเทเนื้อแก้วเป็นแผ่นกระจกให้เรียบไม่ขรุขระได้ และใช่แต่จะพัฒนากระจกมือถือให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขายังประดิษฐ์กระจกแก้วให้มีแผ่นบางและยาวขนาดสามารถส่องคนได้เต็มตัวอีกด้วย “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!