หมอดมยาเป็นใคร ??
วิสัญญีแพทย์ หรือทีชาวบ้านเรียกว่า หมอดมยา มีบทบาทหน้าที่อย่างไร ไม่ลงชื่อ กรุงเทพฯ
วิสัญญีแพทย์ หรือทีชาวบ้านเรียกว่า หมอดมยา มีบทบาทหน้าที่อย่างไร ไม่ลงชื่อ กรุงเทพฯ
พญ จริยา เลิศอรรฆยมณี อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า วิสัญญีแพทย์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม quot หมอดมยา ” มีหน้าที่หลักคือ ให้การระงับความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยในระหว่างการผ่าตัด คนทั่วไปอาจเข้าใจว่าเมื่อเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้วจะได้รับการ “ ดมยา ” จนหลับใหลไม่รู้สึกตัว อันที่จริงการระงับความเจ็บปวดอาจแบ่งได้เป็น ๒ แบบ แบบหนึ่งให้ยาสลบ คือทำให้หมดสติ และอีกแบบหนึ่งให้ยาชาเฉพาะที่ ทำให้บริเวณที่จะผ่าตัดไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยผู้ป่วยไม่หมดสติ วิสัญญีแพทย์ในปัจจุบันยังดูแลผู้ป่วยนอกห้องผ่าตัดอีกด้วยเช่น ดูแลผู้ป่วยหนักที่อยู่ในขั้นวิกฤตในหออภิบาล อยู่ในทีมช่วยกู้ชีวิตให้ฟื้นคืนชีพ ให้การระงับความเจ็บปวดเรื้อรังในผู้ป่วยมะเร็ง รับปรึกษาเรื่องการใช้เครื่องช่วยหายใจ และเปิดทางหายใจ ช่วยลดความกังวลหรือความหวาดกลัวในการทำฟันและการตรวจต่าง ๆ เป็นต้น การฝึกอบรมเป็นวิสัญญีแพทย์หลังจากจบแพทยศาสตร์บัณฑิตแล้ว ใช้เวลาศึกษาและปฏิบัติงานในภาควิชาวิสัญญีวิทยาของโรงเรียนแพทย์อีก ๓ ปี แล้วจึงสอบวุฒิบัตรวิสัญญีวิทยาซึ่งอนุมัติโดยแพทยสภา สำหรับราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทยนั้น เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน ควบคุมดูแลการฝึกอบรมและจัดการศึกษาต่อเนื่องสำหรับวิสัญญีแพทย์ ตลอดจนเป็นตัวแทนแพทย์ไทยในชุมชนวิสัญญีแพทย์ของโลกในปัจจุบัน จำนวนวิสัญญีแพทย์ในประเทศไทยยังน้อยเมื่อเทียบกับประชากร จึงมีการฝึกอบรมวิสัญญีพยาบาลหลักสูตร ๑ ปี เพื่อปฏิบัติงานภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์ นอกจากต้องมีความรู้ความสามารถเหมาะสมเพียงพอและทันสมัยแล้ว วิสัญญีแพทย์ต้องมีการตัดสินใจที่ฉับไว เนื่องจากภาวะผิดปรกติที่เกิดกับผู้ป่วยต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว เช่น ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น ภาวะช็อก เป็นต้น ต้องสามารถสื่อความหมายให้ผู้ป่วยเข้าใจ ร่วมมือ และปลอดจากความกังวลเพราะผู้ป่วยไทยจำนวนไม่น้อยหวาดกลัวการดมยาสลบ และอาจมีความเข้าใจผิด ๆ ว่า การดมยาสลบทำให้เกิดผลเสียต่อระบบสมองและความจำ ในห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์หรือวิสัญญีพยาบาลจะเป็นเพื่อนผู้ป่วย คอยดูแลผู้ป่วยตลอดเวลาแม้ในขณะหมดสติ โดยวัดความดันเลือดและชีพจร สังเกตคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และดูแลออกชิเจนที่ผู้ป่วยได้รับ เป็นต้น ว่ากันว่าในสมัยก่อนการแพทย์แผนปัจจุบัน ศัลยแพทย์เริ่มต้นมาจากช่างตัดผมซึ่งใช้มีดช่วยบ่งฝีและทำแผลเล็ก ๆน้อย ๆ ถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ต้องทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตัวน้อยลงเช่น ดื่มเหล้า กินฝิ่น หรือให้ผู้ช่วยหลาย ๆ คนจับแขนขาผู้ป่วยตรึงไว้ไม่ให้สู้หรือหนี แล้วจึงจะทำการผ่าตัดได้ ในปี พ ศ ๒๓๙๐ นายแพทย์แซมมวล เรย์โนลต์ เฮาส์ SamueI ReynoldS House ได้ใช้ยาสลบอีเทอร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และอาจจะเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียด้วย โดยท่านทำหน้าที่เป็นศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์ไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีวิสัญญีแพทย์ในประเทศไทย ศัลยแพทย์ยังทำหน้าที่เช่นนี้เรื่อยมาโดยมีพยาบาลและคนงานเป็นผู้ช่วย จนกระทั่งมีการส่งแพทย์ไปฝึกอบรมด้านวิสัญญีวิทยาโดยตรงที่ต่างประเทศ และแยกหน่วยงานออกจากภาควิชาศัลยศาสตร์เป็นภาควิชาวิสัญญีวิทยาครั้งแรกในคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อ พ ศ ๒๕๐๘ ในยุคนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ มีน้อยแพทย์ต้องช่วยกันผลิตเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างเอง “ ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี ”
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!